Tuesday, June 30, 2015

ผ่านไป 14 เดือน อาการปวดหลังดีขึ้นมาก แต่มีขาอ่อนแรงอยู่ครับ

สวัสดีครับ

   อีก 2 วัน ก็จะครบ 4 เดือนหลังจากโพสต์ครั้งล่าสุด ขณะนี้อาการปวดหลังทรมานของกระผม ดีขึ้นมากแล้วครับ กับระยะเวลา 1 ปี กว่า หรือ ราวๆ 14 เดือน กล้าบอกเลยว่า ผ่าน "นรก" มาด้วยตัวเองครับ แน่ล่ะหากมองในด้าน จิตวิญญาณ ต้องบอกว่า

      1.กุศลเก่าช่วย
      2.กุศลใหม่ช่วย
       3.เจ้ากรรมนายเวร ให้อภัย
     4.สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ดูแล ช่วยเหลือ
     5. พลังในสิ่งที่เรา ยึดถือ ได้ช่วยเรา

และ สิ่งอื่นใด ที่เราอาจไม่รู้ ที่คอยดูแลเรา

   แต่หากมองในเรื่อง กายภาพ สิ่งนี้ อาจจะเข้ากันได้กับ ข้อ 2. คือ กุศลใหม่ช่วย นั่นคือเราไม่นิ่งนอนใจ ปล่อยให้หลังเราเจ็บปวดไปตาม ยถากรรม แต่เราคิดหาวิธี รักษา เขาให้ดีๆ เช่น


Tuesday, March 3, 2015

การเพาะกายและการควบคุมน้ำหนัก ข้อควรระวัง และ ทำไมคนไทยโชคดี ในการดูแลตัวเอง

สวัสดีครับ

     ผมในตอนนี้ ทุกท่านคงทราบหากได้ติดตามผลงาน บทความของผมมาสักระยะ ว่าผมกำลังเจ็บหลัง จากสาเหตุ ที่ไม่ใช่จากการเพาะกาย แต่มันเป็นอย่างนั้นเอง ดั่งที่ท่านพุทธทาส เคยสอนไว้ คือ เล่นเพาะกายหนักๆ ติดๆ 8 เดือนไม่เคยเป็นอะไรเลย แต่มาจัดห้อง ยกของติดๆ กันหลายวัน เป็นเจ็บหลัง มีอาการปวดสะโพกรุนแรง และ เจ็บมาก จนวันนี้ ก็งงๆ ว่า ไหงเป็นแบบนั้น

      มาอ่านเจอในหนังสือ คนจีนเขาว่า เป็นเรื่องของการ หักโหม ครับ และตัวนี้ คือหนึ่งในคัมภัร์ หวงตี้เน่ยจิง ที่บอกว่า หากอยากอายุยืน ต้องมีอะไรบ้าง นี่คือหนึ่งในนั้น ไม่หักโหม ตัวกระผมเห็นเลยว่า นี่ล่ะหักโหมแล้วเป็นอย่างไร

     อย่านึกนะครับว่า เล่นกล้าม มีกล้ามใหญ่ๆ แมนๆ แข็งแรงแล้วจะอึดเลยคนแบบ Hulk ไม่ใช่นะครับ มีไว้แต่ สายกลางดีกว่าครับ :0)

     สรุปคืออะไรที่มากไป ไม่ดี และ น้อยไปก็ไม่ดี ต้องสายกลางครับผม

Thursday, January 29, 2015

ความคล้ายคลึง ของศาสตร์แห่งปราณ และ การเพาะกาย

สวัสดีครับ

      พวกเราที่เล่นเพาะกายกันเป็นประจำ ย่อมคุ้นชินกับเรื่องของ การควบคุมลมหายใจ กันเป็นแน่แท้ เพราะว่าหากไม่ควบคุมให้ดีอาจทำให้ เกิดการบาดเจ็บได้ หรือ ทำลายสุขภาพกันได้เลย

       พอผมได้มาฝึกทางด้าน ปราณ หรือ จีนเรียกว่าพลังชี่ ก็ได้มีโอกาสอ่านข้อมูลมากมาย และผมเจ็บหลังทำให้ได้นำมาใช้ และช่วยเรื่องอาการบาดเจ็บได้เป็นอย่างดี จึงนำมาเขียนให้แฟนๆ คอลัมน์ได้อ่านกันครับ

      เริ่มจากทางฝั่งปราณกันก่อน ปราณ ที่ผมเริ่มฝึกในทีแรก เป็นของจีน ผมศึกษาจาก Youtube นี่ล่ะ เพราะตอนนั้น กำลังเจ็บใหม่ๆ อะไรที่ว่าดี เอาหมดครับ โยคะ ก็ทำ ยืดเส้นก็ทำ ท่าบำบัดดีๆ ก็ค้นหา ด้วยความเพียรจน พบของดีเป็นท่าต่างๆ ที่เขียนไว้ในบทความก่อนๆ ลองหาอ่านเอานะครับ คนที่ปวดและเจ็บหลัง

       ตอนนั้นจำได้ เป็นลมปราณของ บู๊ตึ๊ง ที่คนมีชื่อเสียงของไทย ทำแล้วได้ผล และเผยแผ่เป็นวิทยาทานผ่านรายการโทรทัศน์ ซึ่งก็ราวๆ ยุดปี 2540 นานมาก ดีที่มีคนเอามาเผยแผ่ได้บน Youtube ซึ่งหากไม่มีอะไรแบบนี้ เราคงแย่ เพราะของดี ก็หายไปกับกาลเวลา

       ผมได้ดูคลิป ลมปราณบู๊ตึ๊งก็พบว่า นี่ล่ะหนทางที่จะทำให้เราหายดีขึ้น ก็ลองทำอยู่ 2-3 เดือน ได้ผลครับ อาการต่างๆ ลดลงไปเห็นชัด กำลังวังชาเพิ่มขึ้น ก่อนหน้านั้นผมฝึกลมปราณ ของ กวนอิมจื้อไจ้กง น่าจะใช่ ของ อาจารย์หยาง ก็เอามาจาก Youtube เช่นกัน และลองเอามาทำตอนเจ็บหลัง ปรากฎว่า ยืนไม่ไหวครับ ต้องเลิกไปก่อน การแกว่งแขน ก็ต้องเลิก เพราะต้องยืนทั้งนั้น

       สำหรับลมปราณบู๊ตึ๊ง ผมลองนั่งทำ ก็พอไหวครับ และทำต่อเนื่อง ก็มีความประทับใจเรื่อง ชี่ และ ลมปราณ อยู่ในใจเพราะมันดีจริงๆ ผมฝึกปราณไปพร้อมๆ กับ ท่าโยคะต่างๆ แล้วอาการที่ไม่คาดว่าจะดีขึ้นก็ ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งๆ ที่น้ำหนักตัวของเราก็มาก

        หลักง่ายๆ ที่สรุปออกมา หลังผ่านไป 9 เดือนคือ จงคล้อยตามร่างกายของคุณ อย่าฝืน พักมาก และ มองหาวิธีรักษาตัวเองนั่นเอง

       ตัวแปรอีกอย่างที่ทำให้หายดีมากขึ้นคือ   กำลังใจ ให้คิดแบบนี้ว่า

       ไม่กลัววันที่ท้อแท้ และหมดหวังที่สุดจะมาถึง เพราะหากมีวันนั้นเกิดขึ้น 
          เราจะเริ่มนับ 1 ใหม่ทันที ไม่ยอมจมอยู่กับ เลข 0 เด็ดขาด

บทความพิเศษ: ธรรมะสะกิดใจ ลองนับแต้มความดี เพื่อเป็นพลังใจให้ชีวิต ครับผม

อนุญาต ให้แชร์ต่อๆ กันไปได้ ครับผม :0)
____________________________________________________

ที่มา: เคยได้ยินไหม คนจำนวนหนึ่ง เคยบ่นให้เราฟังกันว่า ทำดี ไม่เห็นได้ดี
แล้วก็ร่าย บทสวดส่วนตัว อันน่ากลัว นรกจะกินหัว คือว่า...
ทำดี ได้ดี มีที่ไหน... ทำชั่ว ได้ดี มีถมไป

      ซึ่ง ปริมาณของคน ทำให้ความหลากหลายของ เวรกรรม ทั้งดี และ ร้าย เกิด ถี่ยิบเกินไป ไม่ถี่ได้ไง ประชากรโลก ประมาณ 7 พันล้านเข้าไปแล้ว นักคณิตศาสตร์ เขารู้เลยว่า โอกาส จะเกิดอะไร มันจะมากขึ้น ตามหลัก สถิติ ง่ายๆ
พอ คนไม่ดี ได้ดี ให้เห็นเข้า บ่อยๆ คนก็ท้อใจ แต่ ลืมไปว่า ธรรมชาติ ข้อหนึ่งของคนเราคือ มักลืมความดีงามที่คนทำให้ตน และคิดถึงตน มากเกิน จนใครมาทำอะไรไม่ดี จะจำกันข้ามภพทีเดียว พอเจอสิ่งเลวร้ายมากๆ ก็จะ พูดว่า

ทำดี ได้ดี มีที่ไหน... ทำชั่ว ได้ดี มีถมไป

ทุกเจนเนอเรชั่น มันจะคิดได้เอง

       ทว่าพระสังฆราช สมเด็จพระญาณสังวร ผู้ล่วงลับ ท่านได้ ตรัสไว้ใน หนังสือเล่มเล็ก "ชีวิตนี้สำคัญนัก" เอาไว้ ประมาณนี้ว่า

..เวรกรรม ดี ร้าย ที่ทำมาในอดีตชาตินั้น ไม่สามารถประมาณได้ หลายภพชาติ
มันเหมือนกับการ เขียนหนังสือ ลงไปบนกระดาษแผ่นเดียวซ้ำๆ สักรอบสองรอบ ยังพออ่านได้ แต่พอซ้ำลงไปหลายๆ รอบ สิ่งที่เห็นคือ รอยหมึกที่ทับกัน ยุบยับซับซนอ่านไม่ออก...จึงเป็นของยากของคน ทั่วไป ที่จะรู้ได้ ถึง กุศลกรรม หรือ อกุศลกรรมที่ส่งผลให้เรา ว่ามาจากที่ไหน ตอนไหนอย่างไร ...
ท่านยังตรัสต่อไปว่า


Wednesday, November 12, 2014

อาการปวดหลัง เดินไม่คล่องเริ่มดีขึ้น จากนี้ไปทำอะไรต่อ กับ วิชาเพาะกาย???

สวัสดีครับ

      สิ่งที่รอคอยมากว่า 6 เดือนก็ได้ผลดีมากเมื่ออาการต่างๆ ค่อยๆ ทุเลาลงไปครับ ภาพรวมดีขึ้นมากแต่ยังไม่กล้าปล่อยไม้เท้า ครับ เพราะมันเคยชินเสียแล้ว ขาของผมยังไม่ค่อยแข็งแรงนัก ก็นั่งถามตัวเอง ไอ้เรื่องเจ็บๆ ปวดๆ ขัดๆ เราผ่านมาได้ แต่ขามันเหมือนไม่แข็งแรงทำอย่างไร

      หลายเดือนก่อนอ่านพบมาแล้วว่า คนปวดหลังเป็นแบบนี้ได้ เพราะตอนเป็นอาจจะไปส่งผลให้เส้นประสาทมีปัญหา ซึ่งรักษาได้ ผมก็งงๆ ครับ แต่จากการที่ดูอาการมาเองตลอด ก็พบว่า มันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ นั่นล่ะ แต่มีทางเลือกมาเสริมไหม ผมคิดๆๆๆๆๆ

       จนเมื่อวานผมก็หันไปมองดัมเบลล์ เพื่อนเก่า และพบว่า เราทำบล็อกเพาะกายนี่ เออ ใช้การยกน้ำหนักมาสร้างเสริมหรือกระตุ้นได้ไหม ผมก็หยิบจานน้ำหนัก เอาแบบเบาๆ มาวางบนหลังเท้า แล้วก็ลงมือ ออกกำลังกันเลย ผมทำดังนี้


        กระดกเท้าขึ้นลงนับ 1 ทำ 12 ครั้ง เป็น 1 เซ็ท หายใจเข้า แล้วหายใจออกตอนยก ทำช้าๆ

       ทำ 3 เซ็ท
      และทำกับเท้าทั้งสองข้าง

      ได้ผลทันตาครับ อาการเหมือนว่า ข้อเท้า ไม่ 100% หายเลย แทนที่ด้วยความรู้สึก ที่เหมือนที่พลังอะไรบางอย่าง เดินจากบั้นเอวไปที่ข้อเท้า ทำให้มันรู้สึกว่า หายดีเหมือนสมัยยังไม่มีอาการปวดหลัง

      แต่ผมไม่รีบนะครับ ยังคงใช้หลัก ทำไปเรื่อยๆ แต่กล้ามเนื้อ เส้นเอ็นมันจะตามแข็งแรงมาเอง ผมมั่นใจมาก ทำไม?

       เนื่องจากผมเป็นคนน้ำหนักตัวมาก แต่เล่นกล้าม 2 ปีก่อน และก่อนนั้นเป็น 10 ปี ผมไม่สามารถลงน้ำหนัก วิ่ง ได้แล้ว มันปวดเข่ามาก แต่ผมไม่เคยบอกใคร เพราะเรื่องอะไรจะเล่า และหน้าที่การงาน ก็นั่งโต๊ะครับ  พอมาเล่น Leg Press ทำอยู่ 8 เดือน ผมวิ่งได้เหมือนเดิม ทั้งๆ ที่ น้ำหนักไม่ได้ลดลงมาก ไม่แปลกใจเลย ก็มวลกล้ามเนื้อใหม่ๆ นั่นเองครับ

       ดังนั้น การฟื้นฟูสภาพร่างกายของผมในคราวนี้ก็เช่นกัน ผมจะจัดเต็มเพาะกายเลย ความรู้มีต้องเอาตัวรอดได้ครับ มาดูกันว่า ในอีก 6 เดือนต่อไปผมจะดีขึ้นขนาดไหน และอย่างไร ก็คงจะมาเล่ากันในบล็อกนี้เป็นระยะๆ เหมือนเช่นเคยครับผม คงต้องออกแบบท่าออกกำลังกาย ของตั้งแต่ หลัง บั้นเอว สะโพก ก้น ขาท่อนบน ท่อนล่าง น่อง ข้อเท้า และฝ่าเท้า เอาให้ครบกันเลย :0)

 สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)

Wednesday, October 15, 2014

การก้มกราบในทุกศาสนาคือทางในการบรรเทาอาการปวดหลังที่แสนชะงัดใช่หรือไหม

************************************************************************
  แฟนคอลัมน์ครับ รักในโอกาส ในการลงทุน ต้องรู้จัก ETORO ครับ
ลองสมัครโดยใช้ Account Facebook สมัครได้ไม่ยากจ้า
 คลิกที่นี่อย่ารอช้า คุณจะชอบ :0) เว็บที่มีสมาชิกกว่า 100 ล้านคน
เว็บไซต์เครือข่ายสังคมการลงทุนระดับโลก 
พร้อมระบบการลงทุนตามคนสำเร็จ เอกลักษณ์ ของ ETORO ************************************************************************


สวัสดีครับ

    อยากให้ไปลองสังเกตุกันครับ ลองถามผู้ใหญ่ที่บ้านหรือญาติของเราที่ธรรมะ ธรรโมหน่อยว่า ขณะที่ประกอบกิจทางศาสนา ที่มีการสวดมนต์ไหว้พระ หลังจากกราบพระ จะที่บ้านหรือ ที่วัด มีอาการ เบาสบายในส่วนของร่างกายใช่ไหม

      หากเป็นศาสนาอื่น ก็เช่นการก้มกราบ ก้มคารวะ เป็นต้น

      จากที่ผมสังเกตุดู คนสมัยปัจจุบันแทบไม่ได้ทำท่า ก้มศรีษะไปทางพื้นด้านหน้าเอาเสียเลย ในอดีตยุคโบราณ คนยังล่าสัตว์ ทำไร่ ทำนา บรรพบุรุษของเรายังไง ใน 1 วันต้องมีการก้มไปข้างหน้าจากกิจกรรมใด กิจกรรมหนึ่ง

       แต่สมัยนี้ เราไม่ได้ทำสิ่งเหล่านี้  จริงๆ ท่าอื่นๆใดเราควรทำให้ครบๆ อย่างโยคะจะมีให้เราก้มหน้า แอ่นหลัง บิดไป บิดมา ครบสุดๆ หรือรำมวยจีน ประมาณนี้

       ผมอยากทราบจริงๆ ว่าการก้มกราบต่างๆ ช่วยเรื่องป้องกัน บรรเทาอาการปวดหลังได้จริงไหม แต่ผมทำท่าโยคะแบบท่านี้ แล้วอาการต่างๆ ดีขึ้นตามลำดับครับ สำหรับคนที่อยู่ดีๆ เกิดปวดมากๆ ก็ลองหาที่ทำดู อาจช่วยให้หายได้ทันทีเหมือนกัน แต่ระวังทำช้าๆ หากไม่ไหว ไปหาหมออย่าฝืน

       ท่าก้มกราบ ดัดแปลงมาจากท่าโยคะ น่าจะเป็นท่าเต่าล่ะมัง

1.นั่งคุกเข่าหลังตรงนับ 10-15 ไม่ช้าไม่เร็ว หายใจลึกๆ ยาวๆ ให้สดชื่น ปลายเท้าวางราบหรือจิกพื้นก็ได้
2.ก้มลงไปช้าๆ เอามือช่วยยันพื้นด้านหน้าทีละข้าง แล้วหงายฝ่ามือให้ชิดกัน  ค่อยๆ หายใจออก
3.ก้มศรีษะลงไปแล้วให้หน้าผากวางบนฝ่า ระวังให้ข้อศอกชนหัวเข่าทั้งสองข้าง ก้มสุดแขม่วท้องหายใจออกให้หมด มีสตินับ 10
4. ตอนนับหากใหม่ๆ หายใจไม่ทัน ก็ค่อยๆ หายใจเข้าออกช้าๆ ครับ แต่ต่อไปต้องหายใจออกได้
     ตอนนับ 10 ให้พิจารณข้อกระดูกสันหลังตั้งแต่ต้นคอลงไปเรื่อยจนก้นกบ แล้วย้อนขึ้น ย้อนลง
    นับ 10 ระยะแรก ต่อไป 15
5. หายใจเข้าช้าๆ อาจยกตัวมายืนศอกหายใจสักพักช้า หรือยกลำตัวหายใจช้าๆ พอหายเหนื่อยแล้ว
ยืดแขนยาวออกไปด้านหน้า ให้มากที่สุด ระวังข้อไหล่อย่าเร็ว ช้าๆ ระวังกระดูกคอ ให้หน้าผากแตะพื้น
ให้รูสึกว่า ไหล่ หลัง กล้ามเนื้อยืดออก นับ 10-15  หายใจออก

6.ยกลำตัวขึ้น เงยศรีษะช้า ปิดตาหายใจเข้าช้าๆ ยืนศอกงอแขนเข้ามาประสานมือ กางนิ้วโป้งแล้วเอาคางไปเกยที่นิ้วโป้งทั้งสอง ปิดตา สำหรับคนที่ทำท่านี้แล้วปวดตา หายใจเข้าออกช้าๆ หลังอาจแอ่นได้
แต่ให้ช้าๆ

7. เลื่อนตัวกลับมาช้าๆ อาจยันพื้นได้ เพื่อกลับไปท่าก้มกราบทีแรก ที่บอกว่า ข้อศอกติดกับหัวเข่า เอาหน้าผากวางบนฝ่ามือ หายใจออกให้หมดแขม่วท้องช้า สั้นๆ นับ 5-10

8.ค่อยๆ ยกลำตัวขึ้นให้มาข้างถนัดยันพื้นช่วยยกลำตัวอีกมือไปวางบนหน้าขาเหนือเข่า จะพบว่า ลำตัวยกขึ้นง่ายมาก หายใจเข้ามาเรื่อยๆ จนลำตัวตั้งตรง หายใจเข้าช้าๆ หลับตาอยู่ หลังตรง อาจเปิดตาได้ให้ค่อยๆ เปิด หรือ ปิดตาก็ได้ หายใจปกติ นับ 12-15

9. เริ่มทำใหม่ตั้งแต่ข้อ 1.

     คนที่เพิ่งมีอาการเจ็บหลัง ทำเพียง 2 รอบพอ ต่อมา 3 รอบ สัก 1-2 เดือน จากนั้นพอถนัดแล้วให้ทำ 5รอบเช้า และต่อมาอีก 5 รอบเย็น อย่าทำตอนแดดจัด เพราะร้อนเกินไป อย่าทำตอนเพลียเกินไป และอย่าทำตอนเพิ่งกินอาหารมาอิ่มๆ ต้องเว้นช่วงราวๆ 1 ชั่วโมงขึ้นไป

     คุณจะพบเองครับว่า อาการหน่วงๆ ที่บั้นเองลงไปก้น สะโพก ท่อนขา จะคลายหายไปหมดยิ่งทำยิ่งดี ยิ่งแข็งแรงครับ เมื่อหายดีแล้วลองหาท่าอื่นๆ มาฝึกครับ โยคะดีแท้ครับ

 ช่วยกันแชร์ และ บอกต่อ เป็นวิทยาทานครับ


สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)

Wednesday, October 1, 2014

บันทึกไว้ก่อนจะลืมความดีงามเหล่านี้ไปเสียก่อน :0)

สวัสดีครับ


บันทึกไว้ก่อนจะลืมความดีงามเหล่านี้ไปเสียก่อน :0)

เขียนเก็บไว้ กันลืม ต่อไปจะได้เป็นคนถ่อมตน และ รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้คนมากกว่าเดิมครับ 

:0)

ขอขอบคุณ

อันดับแรก ขอบคุณคุณแม่ และ คุณพ่อ สำหรับคำว่า "จงอยู่กับปัจจุบัน" ทำให้ 5 เดือนกับ

อาการเจ็บหลัง 

และต้องใช้ไม้เท้า มีกำลังใจเพิ่มอย่างมากมาย
และ

1.ขอขอบคุณคนน่ารักคนหนึ่งที่เราได้ทักทายกัน ทุกวัน เป็นกำลังใจให้ผมเป็น

อย่างมากๆๆๆ -->นครหลวง :0)


2.ขอขอบคุณ มิตร คนหนึ่ง ที่เช้าวันนี้ได้ให้กำลังใจผม นั่งคุยกับผม นานเลย

ขอบคุณมากครับ :0) และ


3.มิตรคนหนึ่ง ที่ช่วยดูแลเรื่อง อุปกรณ์การทำงานให้ผม ตอน 2 เดือนแรก กับงานใหญ่ 1 

งาน มิตรคนนี้ เขาจัดแจงให้ผมหมด ขอบคุณๆ


4.มิตรอีกคน ผมคิดว่าเขียนไว้กันลืม 3-4 สัปดาห์ก่อน พอดียังใช้ไม้เท้า เดินผ่านเส้นทาง

กลับบ้านจากที่ทำงาน ท่ามกลางฝนโปรยปรายยามค่ำ เขารอผมซื้อข้าวของจนเสร็จ แล้วยัง

ช่วยเดินถือของ และกางร่มให้ผมไปตลอดทาง ส่งผมจนถึงลิฟต์ สุดยอด ขอบคุณครับ :0) 

5.มิตรทุกท่าน ที่ช่วยกระผม ซึ่งอาจจะหลงลืมไปแล้ว หรือไม่ได้สังเกตุ ขอบคุณมากครับ

6.ขอบคุณทุกสรรพสิ่ง :0)

ทำให้นึกถึงหนังอินเดียเรื่องหนึ่ง เริ่มมาเขาก็ร้องเพลงและเต้นกันเลย เนื้อหาคือ เพื่อนบอก

ว่า ปาฏิหาริย์ ไม่มีจริงหรอก เขาก็บอกเป็นเพลงว่า อย่าไปนึกสิว่ามันต้องเลิศ

เลอ...ปาฏิหาริย์มีอยู่ทุกที่ แล้วเขาก็ร้องว่า

...เคยไหมที่ในชีวิต ขณะที่รถเสียอยู่กลางทาง อยู่ๆ ก็มีคนมาช่วยดูแล ตั้งแต่ต้นจนจบ แล้ว

ลาจากไปด้วยรอยยิ้ม

...เคยไหม ที่ยามฝนตก คุณติดอยู่ที่ป้ายรถ แล้วมีคนให้คุณยืมร่ม ทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จักกันและไม่หวังว่าจะ

ได้ร่มของเขาคืน

...เคยไหมในวันที่เราทุกข์ ก็มีใครคนหนึ่ง คอยดูแลทั้งๆ ที่เขาไม่ได้ต้องการอะไรตอบแทน

เลยแล้วเพลงก็สรุปว่า อย่ามองว่าปาฏิหาริย์ต้องเลอเลิศ แท้จริงแล้วปาฏิหาริย์ มีอยู่ทุกที่ 

เพียงเราได้ใส่ใจ

หรือยัง และอย่าได้มองข้ามไปเฉยๆวันนี้กระผมได้เจอ ปาฏิหาริย์ มาตลอด 5 เดือนและขอ

ยืนยันว่า ปาฏิหาริย์ นั้นมีจริงครับ :0)

คุณบอลล์ :0)