Tuesday, January 24, 2012

การอดอาหารเพื่อสุขภาพ กับการลงมือทำครั้งแรก

สวัสดีครับ

หมายเหตุ: ต้องดื่มน้ำให้พอนะครับ อาจจะมากหน่อยในวันแรก

  วันจันทร์และวันอังคารที่ผ่านมานี้ ผมได้ทดลองอดอาหาร โดยกินแค่ ผลไม้ล้วนๆ เช่นกล้วย มะละกอ ชมพู่ และแอ็ปเปิ้ลเท่านั้น พบว่า มันสบายมาก และสิ่งที่ผมได้พบคือ

   เช้ามื้อแรกหลังกินผลไม้ ผมไม่ค่อยรู้สึกหิวมากนัก เพราะผมได้เตรียมจิตใจไว้พร้อมแล้ว และผมเชื่อว่ามันจะทำให้ผมสุขภาพดี พอใกล้ๆ เที่ยงเริ่มหิวมาก ทำให้ผม ต้องกินผลไม้เที่ยง ตอนราวๆ 11.00 น. จากนั้นก็นอนดูโทรทัศน์ไปเรื่อย แล้วหลับประมาณ 2 ชั่วโมง ตื่นมาก็สบายดี ดื่มน้ำ แล้วก็หาหนังสือมาอ่านผ่อนคลาย ระหว่างนี้ผมจะ ปัสสาวะบ่อย ทั้งๆ ที่ไม่ได้ดื่มน้ำมากมายอะไรจากปกติ ผมเชื่อเองว่านี่คือกลไกขับพิษแบบหนึ่ง

    จากที่ดูโทรทัศน์มาทั้งวันและใช้สายตามากมายในปีที่ผ่านมาผมเริ่มมีอาการปวดกระบอกตา และดวงตารวมทั้งปวดหัวมากขึ้นๆ ผมเข้าสู่อาหารเย็นผลไม้เช่นเดิม คืนนั้นนอนหลับไปพร้อมกับอาการปวดตา ผมเชื่อว่าเป็นการรักษาตัวเองของร่างกาย ทำไม? เดี๋ยวมาดูวันที่ 2

   เช้่าวันที่ 2 ไม่ได้หิวอะไรมาก ก็กินมื้อผลไม้ ที่ 4 แล้วก็นั่งๆ นอนๆ ผมเริ่มเห็นว่าอาการปวดตาคลายลง และมันคลายลงไปมากในตอนเย็น ผ่านมื้อเที่ยงและเย็น เข้าค่ำคืนที่ 2 สิ่งที่ผมพบคือ ผมตื่นมาเข้าห้องน้ำเพียง 2 ครั้ง ปกติจะมากกว่านี้ เพราะผมกินเยอะ ดื่มน้ำเยอะ มาตลอด นี่ล่ะ ทำให้ผมได้พบผมคนเดิม ที่ ตื่นมาแล้ว สดชื่น เบาสบาย นานมากแล้วที่ไม่ได้เป็นแบบนี้

  ดังนั้นการอดอาหารครั้งที่ 1. ของผม สรุปว่า

 1.วันแรก คิดว่าเป็นวันล้างและขับพิษ
 2.วันที่สอง รักษาอาการ และฟื้นฟู

   แนวคิด: ผมมีความเชื่อส่วนตัวว่า อาการทางกายต่างๆ ในวันนี้ คือผลจากการ กิน ดื่มและใช้ชีวิต
                 ของเมื่อ 2 วันก่อนเป็นอย่างมาก เมื่อพิจารณาในช่วงวันต่อวัน แต่หากมองตัวคุณในวันนี้
                 มันคือ บทสุดท้ายที่คุณตัดสินใจจะเป็น เมื่อสักระยะนานมาแล้ว

 3. เช้าวันที่ 3 ตื่นมา เบาสบาย  จิบน้ำมะนาว ประมาณ 1 ลิตรไปเรื่อยๆ จนหมด
    แล้วเริ่มกินข้าวเบาๆ
 4.ผมมองที่จานผลไม้ แล้วได้คิดว่า แบบนี้ เพิ่มเนื้อสัตว์นิดหน่อยเราก็กินแบบปกติไปเลยได้นี่หว่า
 5.ผมเชื่อแล้วว่า มันบำบัดร่างกายได้จริงๆ เพราะอาการปวดหน่วงๆ ที่ตาของผม มันหายเป็นปลิดทิ้ง


 ดังนั้น จากที่ได้ลองมาด้วยต้นเอง ผมเชื่ออย่างมั่นใจ 1000 % ว่ามันช่วยให้ร่างกาย อวัยวะ และจิตใจ
ได้พักฟื้นจริงๆ และยังบำบัดตัวเองไปในตัว หากมีเวลา ให้ทำสักเดือนละ 4 ครั้ง อย่างน้อยคุณจะได้บำบัดกันทุกสัปดาห์ครับ ผมตั้งเป้า เดือนละ 8 ครั้งครับ ต้องทดลองกันต่อไป

   วันนี้คุณทดลองอดอาหารเพื่อสุขภาพแล้วหรือยัง

สวัสดี

Friday, January 20, 2012

หลักการอื่นๆ ที่นำมาสร้างเสริมสุขภาพที่ดีพร้อมๆ กับการเพาะกาย

สวัสดีครับ

  วันนี้ผมขอนำหลักการดีๆ มาแนะนำให้ทำพร้อมกันไปกับการเพาะกาย ซึ่งวันนี้ ผมยังไม่ลงในรายละเอียดแต่ผมเชื่อว่าทำตามแนวทางนี้ น่าจะดีกว่าไม่ทำอะไรครับ

  สำหรับคนทั่วไป ผมขอให้ถอนความคิดแบบสุดเดช บางอย่างเช่นว่า
 เบาหวานรักษาไม่หาย อันนี้หายไม่ได้ต้องเป็นตลอดไป อันนี้เป็นแล้วไม่หาย

 เพราะคำพูดข้างต้น ทำให้มีส่วนให้คนที่เป็นอาการต่างๆ ในแบบแพทย์ตะวันตกยุคเก่า หมดกำลังใจและคิดว่า ตรูจะทำอะไรๆ ไปทำไม ก็หมอมันบอกว่าไม่หาย
สังเกตุนะครับผมเรียก แพทย์ตะวันตกยุคเก่า ไม่ได้พูดว่า แพทย์ตะวันคกเฉยๆ แพทย์ใหม่ๆ สมัยๆ นี้เขาเอาเรื่อง การทำสมาธิ การทำโยคะ การบำบัดกลุ่ม เข้ามาเป็นการแพทย์ทางเลือกของทางตะวันตกกันนานแล้ว โน่น ตั้งแตปี 1960 แล้วหมอไทยเราทำอะไรบ้าง?

    อย่างอาการของคนเป็นโรคหัวใจ มีรายงานนะครับว่า คนที่ทำโยคะ และสมาธิ ประกอบกับการรักษาไปด้วย หลอดเลือดที่ว่า ตีบมันกลับมาใช้งานได้อีกและไหลเวียนเลือดได้ดี แน่ล่ะตามหลักวิชา มันไม่มีใครเชื่อว่าทำได้ ต้องสวนโน่น ทำนี่ หรือผ่าหัวใจ แต่มันมีรายงานจากทางตะวันตกเองว่า มันกลับคืนดีได้ครับ
แบบนี้เป็นต้น

    เรื่องของเบาหวาน ก็เหมือนกัน หลายคนใช้แนวทางของตะวันออกผสมตะวันตก หายนะครับ ไม่ใช่ไม่หาย แต่มันยังไม่มีงานรองรับมากพอให้ออกมาเป็นวิชาการเรียนการสอนก็เท่านั้นเอง คำถามของผมนะครับ บางคนเขานับอาการไต ที่มีผลมาจากเบาหวานบ้างล่ะ อาการอืนๆ บ้างล่ะว่า คนปกติ ตลอดวันและคืน จะฉี่ไม่เกินเท่านั้นครั้ง ท่ามากกว่านั้นไตจะเสื่อมเร็ว และจะแทงว่าไตมีอาการเสื่อมก็เริ่มที่ต้องใช้การไม่ได้ราวๆ 70 % เกินครึ่งไปแล้วหลายคนเลยแก้ไม่ทัน คำถามคื

    หากคนที่ไตเสื่อมคนนั้น ลดโปรตีนได้ ลดแป้งลงได้ กินอาหารธรรมชาติ ทำสมาธิ เล่นโยคะ แล้ว ฉี่น้อยลง แล้วไตดีขึ้น แบบนี้เรียกว่า ไม่หายหรือครับ
ที่ผมแปลกใจคือ คนโดนอุบัติเหตุร้ายแรงแทบตาย แต่ร่างกายเรายังทำให้รักษาตัวจนหายได้ โดยมีเครื่องมีอแพทย์พยุงเอาไว้ พลังแบบนี้มันไม่มีมารักษาหัวใจ
ตับ ม้าม ตับอ่อน ที่เสียหายเป็นส่วนๆ แบบนี้เชียวหรือ  นี่คือคำถาม

   ดังนั้น หากเราพึ่งแต่ยาเคมี และการผ่าตัดเพียงอย่างเดียว ผมว่าน่ากลัวนะครับ

  ผมจึงคิดว่า คนที่ยังแข็งแรง เราป้องกันไว้ก่อนดีไหม ให้เหมือน พระนาคเสนท่านตอบพญามิลินทร์ ว่า การป้องกันเหตุร้ายในอนาคตทำได้ แม้ไม่เห็น ไม่รู้ ท่านพญามิลินทร์ก็ถามว่า ไม่เห็นไม่รู้แล้วป้องกันได้อย่างไร  ท่านตอบอย่างฉลาดว่า การสร้างเมือง ต้องมีกำแพงเมือง ต้องมีคูน้ำกันข้าศึกรอบเมืองมิใช่หรือ
พญามิลินทร์ตอบว่า ใช่ ต้องมี  แล้วพระองค์สร้างตอนที่ข้าศึกมารุกรานหรือ   ท่านตรัสว่า หามิได้ เราต้องสร้างไว้แต่ต้นๆ สิ

   นี่ล่ะครับถึงต้องเขียนบทความนี้ขึ้นมา จงสนุกไปครับ เที่ยวไป กินไป กลางคืนขยันเที่ยวกันดีนัก การซ่อมแซมร่างกายปั่นป่วนหมดแล้ว เพราะไม่ได้พัก
กินเหล้า กินเบียร์ ตับโดนทำลายไปวันแล้ววันเล่า ไอ้ที่อ้วนก็อ้วนไป สนุกปากกินไปๆ (ด่าผมเอง) แต่เราต้องคิดสร้างกำแพงและคูน้ำกันข้าศึกไว้เสียแต่ตอนนี้
อย่าโง่ เป็นควาย จบการสูงๆ ยังไม่รู้จักสร้างกำแพงสุขภาพและคูน้ำ สุขภาพ ก็จงเป็น ควายไปเสีย ต้องด่าแรงๆ แบบนี้จะได้ จำผมได้ และจำบทความนี้ได้

    ขั้นตอนไม่ให้เป็นควาย คือดังนี้

  1.สร้างความเชื่อใหม่ว่า ร่างกายของคนเรามีพลังในการดูแลและรักษาตัวเองสูงมาก เรามีโอกาสฟื้นฟูกลับไปเป็นคนแข็งแรงได้
  2.เริ่มออกกำลังกาย เอาสักอย่างที่ทำได้ ตลอดไป ผมเอาง่ายๆ เดินหรือวิ่ง กับเพาะกาย คุณจะเอาแบบอื่นก็แล้วแต่
  3.คิดว่าการออกกำลังกายได้สุขภาพจริงๆ แต่การปิดปาก เพียงคุมกล้ามเนื้อขากรรไกรไม่ให้เปิดคุณก็ไม่กินพร่ำเพรื่อแล้ว
     จะกินน้อยลงมากและไม่ต้องออกแรงใด ๆ ง่ายๆ แต่คนเราตายเพราะกล้ามเนื้อชุดนี้มามากแล้วคือ ตามใจปาก
  4.จงหยุด และ เคลื่อนไหว เป็นระยะๆ คือ
     การพักฟื้นร่างกาย ผมแนะนำให้ ทำการอดอาหารแบบถูกวิธี สัปดาห์ ละ 2 วันครับ ไว้วันหลังจะมาเขียนให้อ่านกัน
    ไม่ใช่ เสาร์อาทิตย์ที กระหน่ำ กินแที่ยวกันเละเทะ นี่ล่ะควายครับ
  5.จงทำโยคะ ผมแนะเพราะผมทำแล้ว ดี สดชื่น อย่างประหลาดใจ
  6.จงทำสมาธิ เพราะสมาธิฝรั่งวิจัยแล้วช่วยในการรักษาโรคและป้องกันได้จริงๆ อายเขาไหม มันเอาของเราไปแท้ๆ
     จริงๆ สังเกตุจากเกจิอาจารย์ของไทยก็ได้ แต่ละท่าน 85-100 ปีกันเป็นส่วนมาก ท่านฉันท์ 2 มื้อ และ ทำสมาธิ สวดมนต์
     กุญแจมีที่เราแต่เราไขไม่เป็น
  7.กินเนื้อสัตว์ใหญ่น้อยมากๆ หรือไม่กินเลย นี่ก็ของตะวันออก

 ลองทำให้ได้ 7 ข้อนี้ ครับ ผมว่าเราจะเปลี่ยนชีวิตได้ครับ

สวัสดี

Wednesday, January 18, 2012

ก้นกับพุงหายไปเยอะ กล้ามเนื้อมันเผาเองครับ

สวัสดีครับ

   วันนี้ผมกล้ายืนยันกับตัวเองว่า แม้เกงกางตัวเดียวกันกับปีก่อนมันยังใส่พอดีแต่โครงสร้างของพุงและก้อนของผม รวมทั้ง นม ที่มีออกมาตามประสาคนอ้วน
มันหายไปเยอะครับ เพิ่งสังเกตุจากการพบว่า เนื้อส่วนสีข้างมันยุบหายไปเกือบหมด ทั้งๆ ที่เมื่อก่อน จับได้เป็นบ้องๆ  นมที่ออกมาตามประสาคนอ้วน ก็ยุบไปเยอะ ท้องกับก้น แม้จะยังมีอยู่แต่โครงมันเปลี่ยนครับ ดูเป็นเหลี่ยมมากกว่า วงกลม ที่เมื่อก่อนทั้งๆ ที่น้ำหนักเท่ากัน ผมเดินไปนี่ ก้นกระดกเลย
พุงก็ยื่น แต่ตอนนี้มันเหมือน ปรับโครงสร้างแล้ว หลังผมนี่ใครเห็นต้องขยาด เพราะหนาและกว้าง

    แน่ล่ะผมยังไม่ขนาดหุ่นนักกล้ามแต่ผมว่าผม เฟิร์มขึ้นมาดังนั้น แม้ผมจะหยุดๆ ไปบ้างราวๆ 2 เดือน ผมก็ยังเป็นนักกล้าม เพียงผมไม่กิน 5มื้อ น้ำหนักก็ไม่ขึ้นครับ เพราะว่า กล้ามที่สร้างมาราวๆ 5 เดือนมันเผาผลาญให้ทุกวัน เอา 5 ตั้ง สู้กับ 2 เดือน มันต้องเผาอะไร ที่เป็นไขมันบ้างล่ะ นี่คือ
ที่มาของการสังเกตุเห็นว่า แม้จะหยุดเล่นไปยาวๆ แต่ร่างกายกลับเฟิร์มมากกว่าเดิมครับ

   แต่หากต้องการหุ่นแบบมีกล้ามก็ย่อมจำเป็นต้องกิน 5 มื้อตามหลักโภชนาการ และเล่นกล้ามไปเรื่อยๆ ตอนนี้ผมจะลองประยุกต์ดังนี้ เล่นกล้าม 3 สัปดาห์แล้วพัก 1 สัปดาห์ มีข้อสังเกตุว่า มันมีการเผาผลาญไขมันเห็นๆ ครับ

  โดย
   1.ช่วงที่เล่น มื้อก่อนนอนต้องกินแบบ ระวังที่สุด ไม่ตามใจปาก แป้งพอเหมาะ โปรตีนพอเหมาะ น้ำต้องพอ
   2.มื้อระหว่างวันไม่เป็นพร่ำเพรื่อ
   3.สัปดาห์ที่พัก กินปกติ ไม่กินมาก และมื้อเย็นน้อยๆ เพิ่มการวิ่งหรือเดิน ออกกำลังกาย 3-4 วัน

 ผมเชือว่า ร่างกายผมจะตอบรับและลดน้ำหนักลงได้ครับ
ตอนนี้ผมยังได้วางแผนที่จะ อดอาหาร เป็นครั้งคราวเพื่อล้างพิษปรับร่างกายอีกด้วย ไว้ค่อยมาเขียนให้อ่านกัน ขอลองทำก่อนครับ
ตอนนี้ผมวางไว้ ดังนี้

    1. ทำตามที่เขียนไว้ข้างต้น
    2.อดอาหารเป็นวาระ เดือนละ 2-3 ครั้ง
   3.งดกินสัตว์ใหญ่ตลอดชีวิต โดยเน้นปลา ผัก และ เต้าหู้
   4.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
   5.ทำสมาธิ

 ผมไม่หวังอะไรมาก อายุสัก 100 ปีเป็นอย่างน้อย แบบยังคล่องแคล่วทั้งกายและใจ และเตะปี๊บได้ไม่อั้น สบายครับ
:0) ไว้จะเขียนให้อ่านกันทีละส่วนครับ

สวัสดี

Tuesday, January 17, 2012

การเพาะกายกับการนอนดึกไม่เข้ากัน

สวัสดีครับ
   ผมเล่นเหวตมาประมาณ 5 เดือน เริ่มรู้สึกว่ากล้ามเนื้อต่างๆเริ่มเข้ารูปเข้าทรง และแข็งแรงมากขึ้น วันนี้ตัวผมเชื่อมั่นว่าตัวเองแข็งแรงกว่าเมื่อก่อน
แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมคิดว่า การฝึกยังไม่ได้ผล 100 % คือการนอนนี่เองครับ หลังๆ มามีบ้างที่เผลอไปนอนราวๆ เที่ยงคืนติดๆ กันหลายๆวัน ทำให้
รู้สึกมีอาการเพลียที่หาสาเหตุไม่ได้ แต่พอลองค้นๆ ดูก็พบว่าการนอนนี่เองครับที่ผมพลาดประจำ

   หลังจากมีอาการเพลียมาเป็นเดือนๆ ในที่สุดก็พบสาเหตุและลองนอนแต่หัวค่ำก็พบว่า คืนสองคืนแรกมันไม่ได้เห็นผลอะไรมาก แต่พอคืนต่อมา คืนที่ 3 เช้ารุ่งขึ้นเริ่มเห็นผล คือมันสดชื่นขึ้น กลับมากระปรี่กระเปร่าเช่นเคย ทำให้เรารู้ว่า การนอนคือ ยาวิเศษของคนเรา ไม่เฉพาะนักกล้ามแต่คนธรรมดาก็เช่นกัน
สำหรับนักกล้ามนั้น เราต้องนอนให้มากเข้าไว้ เพราะการนอนนั้น จะทำให้การซ่อมแซมอะไรต่างๆ เป็นไปด้วยดี หากได้นมสักแก้ว ก่อนนอนจะดีมาก เพราะเอาไปช่วยในการซ่อมแซมกล้ามเนื้อสร้างกล้ามเนื้อใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และฮอร์โมนต่างๆ ที่ช่วยในการสร้างกล้ามเนื้อ ก็ยังทำให้ได้เต็มที่ อีกด้วย

    นักกล้ามหลายคนคงพบว่า เมื่อเล่นกล้ามไปนานๆ แล้ว เราจะทนต่อการนอนดึกได้เป็นอย่างดี ทำให้อาจจะคิดว่าเรานั้นแข็งแรงมากแล้ว คือเล่นกล้ามก็ไม่ได้ทำให้ง่วงเพลียเหมือนเมื่อก่อน ก็กลับมาใช้ชีวิตปกติ นอนดึกเหมือนเดิม แบบนี้ไม่ได้นะครับ เพราะกลไกในการซ่อมแซม สร้างเสริมต่างๆ ใน กระดูก เส้นเอ็น และกล้ามเนื้อจะเสียหมด ดังนั้นจงเตือนตัวเอง ว่าให้นอนให้พอตลอดเวลาครับ

    การนอนที่ดีในการเพาะกายนั้นไม่ยากเลยขอให้อาบน้ำก่อนเป็นใช้ได้ แล้วก็กินนมสัก 1 แก้ว จากนั้น ก็สักพักก็นอน สิ่งที่ผมพบก็คือ หากเป็นจังหวะที่ดีๆ นะครับ นอนไป 1 ชั่วโมง ก็สามารถทำให้เราสดชื่นได้ในทันที สดชื่นเกือบจะคล้ายๆ ตื่นนอนตอนเช้าเลย แปลกมากๆ ที่รู้เพราะ เราตื่นไปเข้าห้องน้ำ ตอนนั้นพอดี พอรุ่งเช้า จะสดชืนกว่าวันที่นอนดึกอย่างเห็นได้ชัด แต่อาจจจะมีอาการหิวมากๆ บ้าง ก็รีบจัดมื้อเช้าให้เร็วๆ ก็หมดเรื่อง

    อย่างไรการกิน อาหารแป้ง เนื้อและไขมันให้ถูกตามส่วน และครบ 5 หมู่นั้นจำเป็นมาก ขอให้ทำตามหลักวิชาการเพาะกายให้เคร่งครัดครับ
ลองหาอ่านจากบทความก่อนๆ ของผมกันดูครับ

 สวัสดี

Sunday, January 15, 2012

ผลจากการเพาะกายสำหรับคนเจ้าเนื้อ

สวัสดีครับ

  หลังจากผ่านไป 8เดือน ในการเพาะกาย มีการออกกำลังกายจริงจัง ราวๆ 5 เดือน ส่วนอีก 3 เดือนนับจากวันที่เจ็บและต้องหยุด 1 เดือน เจองานรุมเร้าหยุดไปอีก 2เดือน ผมได้พบอะไรบ้าง

  สิ่งหนึ่งที่เห็นชัดคือ ยิ่งเราออกกำลังกาย เรากลับแข็งแกร็งขึ้น ทั้งทางกายและทางใจ โดยมันเป็นเรื่องเหลือเชื่อสำหรับผม นั่นเพราะ ผมกลับทำงานได้ดีมาก และทำได้มากกว่าเดิม ทั้งๆ ที่ผมเหนื่อยมาจากการเพาะกาย ซึ่งมันทำให้ชีวิตของผมดีขึ้นมามาก และได้พบขอบเขตใหม่ๆ ของตัวเองนั่นคือ เราทำอะไรได้มากกว่าที่เราคิดเสียอีก

  สิ่งหนึ่งที่ผมคงไม่ขยายความก็คือ การเพาะกายเป็นกีฬาของเทพเจ้า ขณะที่ เทพเจ้านั้นพลังมหาศาลที่ท่านมีนั้น เกิดมาเฉยๆ หรือ เพราะท่านได้ลงแรงลงพลังไปกับอะไรบางอย่างหรือไม่ เมื่อเป็นดังนั้น หรือว่ามันมีกฎธรรมชาติที่ว่า ยิ่งลงพลังลงไปมาก นั่นแปลว่า เราจะได้พลังมากคืนกลับมาเช่นกัน แล้วพลังนั้น เราเอาไปทำอะไรได้ไหม...คงต้องขอให้ตีความกันเอง

   จาก 5 เดือนที่ออกแรงไปกับลูกน้ำหนัก นับไม่ถ้วน ผมที่ได้มาทางกายคือ ตอนปีใหม่ ผมต้องเดินเยอะมาก น้ำหนักเกิน 100 แบบผม เดินทั้งวัน และตลอด 4 วัน ผมต้องเดินลงบันได้ที่ชันมากและต้องเดินชมสถานที่ ราว เกือบ 2 ชั่วโมง แล้วต้องปีนบันไดกลับขึ้นมา ซึ่งถ้าเป็นเมื่อปีก่อน เป็นที่รู้กันในเย็นวันนั้น ผมต้องเข่าบวกระบม จากนั้นต้องรักษาตัวเองไปอีก อย่างน้อย 7 วันกว่าจะหาย แต่ปีนี้ มีอาการปวดเข่าเล็กน้อย นอนคืนเดียวหายครับ

   นี่คือพลังของการเพาะกาย แม้น้ำหนักผมยังไม่ลด แต่กล้ามเนื้อผมสร้างได้ดั่งใจ ผมต้องขอบคุณท่า Leg Press ที่เพียรทำมาตลอด 5 เดือนแบบช้าๆ ทำไปเรื่อย ทำให้เข่าผมมีกล้ามเนื้อเกิดขึ้น โดยรอบ ย้ำนะครับ ท่านี้ทำช้าๆ อาการปวดเอวหลัง สะโพก ที่เป็นนานๆ ก็เป็นน้อยลงอย่างมาก เพราะการเพาะกายแท้ๆ ครับ

    ผมจึงขอยืนยันว่า การเพาะกายมีประโยชน์จริงๆ ครับ

สวัสดีครับ

Tuesday, January 10, 2012

ฺิBody Building ต้องไปพร้อมกับ Mind Building สบายๆ

สวัสดีครับ
   วันนี้อยู่ดีๆ ผมก็ได้คิดว่า ที่ทุ่มเทเล่นกล้ามมาได้หลายเดือนนั้น ยังไม่ค่อยเห็นน้ำหนักที่ลดลง แม้ได้กล้ามมามากโข นั่นเพราะ Input คือ ภาคการกินมันมากกว่าภาคการออกกำลังกายนั่นเอง ผมเลยลองนึกต่อไปว่าทำไม คำตอบคือ การไม่สำรวมในการบริโภค กินเสียเกินความเป็นจริง
แรกๆ กินเพราะกลัวว่า ไม่พอสร้างกล้าม แต่นานๆ ไป กินเอามันส์ มันเลยเพิ่มไขมันที่หน้าท้อง

   ผมคิดต่อไปว่า การเล่นกล้ามนี่ยากไหม คำตอบ ยากอย่างแรง เพราะต้องพาตัวเราไปยิม แล้วก็ต้องศึกษาอะไรหลายอย่าง ต้องยกให้ดีๆ ไม่ผิดท่า
บางทีเจ็บก็ต้องพักรักษาตัว ยกแต่ละครั้งเจ็บปวดไปหมด แต่ทำไมทำได้ เพราะมันเห็นผล จากตัวเราที่แข็งแรงและกระฉับกระเฉงขึ้น มีปัญหา มีการวัดใจมากไป
ในการเล่นกล้าม และนี่คือ Body Building

   ทีนี้การกินตามใจปากนี่ มันเป็นอะไรที่ไม่ง่ายไม่ยาก ผมคิด เล่นกล้ามนี่ต้องใช้ทั้งตัว แต่การหยุดกินตามใจปาก เพียงปิดปากทุกอย่างก็จบครับ ปิดปากอย่างเดียวกับการมีสติครับ เท่านี้จริงๆ ไม่ต้องไปยิม ไม่ต้องอะไรเลย ปิดปาก แล้วคิดว่า กูไม่กินๆๆๆๆ เท่านี้เอง ไม่กินจุบจิบหรือตามใจปากนะครับ
หากทำแบบนี้มันจะเกิดนิสัยใหม่ในตัวเราในไม่ช้า ผมเรียกว่า การสร้างใจเราเสียใหม่ หรือ Mind Building นั่นเอง

   บางคนกินเพราะเครียด ให้คิดว่า เครียดในใจไม่แรงเท่าเครียดทางกายเท่าที่เราไปเล่นกล้ามหรอก เท่านี้เราก็ไม่กินมากแล้ว
    กินเพราะจะหมดแรง คนอื่นกินไม่มากเขาอยู่ได้ เราก็ต้องทำได้ (ยกเว้นพวกเรานักกล้ามกินวันละ 6 มื้อนะครับ กินตามนั้นแต่อย่าแถม อย่ามากกว่านั้น กินตามหลักวิชาการครับ)
 
 คุณทุ่มเทพลังแรงกายแรงใจมาเป็น ครึ่งปี คุณยังยืนหยัดในการเล่นกล้ามมาได้ ทั้งๆ ที่ทรมานพอควร ทำไมกับการหยุดกล้ามที่ขากรรไกร ไม่ยอมเปิดปากกินของจุบจิบ คุณจะทำมันไม่ได้ ลองสิครับ ทำการบริหารกล้ามที่ขากรรไกร ไปพร้อมๆ กับการเล่นกล้ามในอีก 6 เดือนข้างหน้า
เชื่อผม เราจะมีหุ่นแมน หล่อ ไม่อ้วน ไขมันหายกันทุกคนครับ

  สร้าง Mind Building ชนะใจตัวเองให้ได้ พิชิตการกินจุบจิบวันนี้ เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น

สวัสดีครับ

เหล้าเบียร์ของคนอ้วน สิ่งที่บั่นทอนทำลายร่างกายคนน้ำหนักเกินทั้งหลาย

สวัสดีครับ

  บทความนี้ได้มาจากวาบความคิด ที่ว่า เราคงมองสุราเมรัย ในศีลข้อที่ 5 เพียงแค่ เหล้ายา เบียร์ สิ่งมึนเมาที่รู้จักกันไม่ได้เสียแล้ว ที่สำคัญถ้าเราเป็นคนที่น้ำหนักเกิน หรือ อ้วน ยิ่งไปกันใหญ่ สิ่งนั้นคืออะไร อะไรที่เราเรียกว่า สุราของคนอ้วน สิ่งนั้นคือ เครื่องดื่มพวกน้ำอัดลม หรือที่มีรสหวานต่างๆ นั้นเอง
หากเราทบทวน เรื่องศีลข้อ 5. ดีๆ จะมีข้อที่ทำให้ มัวเมาอยู่ด้วย ผมจึงคิดว่าอะไรก็ตามที่กินแล้วติดในรส มัวเมากินไม่เลิก นับว่า เป็นสุราเมรัยได้เช่นกัน
คนปกติ กินเหล้า ก็จะสุขภาพเสื่อม ตับแข็ง แก่เร็ว คนอ้วนกินพวกน้ำอัดลม ชา กาแฟ ที่หวานๆ มันก็ทำให้เป็นโรคเบาหวาน น้ำตาลในเลือดสูง พาลไปเป็นโรคต่างๆ ได้ทั้งตัวและทุกอวัยวะเช่นกัน

  เช่นนี้ เราอย่าเอาแต่ไปด่าคนที่กินเหล้าเมายา คนปกติ คนอ้วนที่กินน้ำอัดลม น้ำหวานแบบต่างๆ ก็ถือว่าผิดศีลข้อ 5. ตลอดเวลาเช่นกัน เพราะเรามัวเมาในรสหวานนั่นเอง ดังนั้นใครก็ตามที่ยึดศีล 5 มาตลอด แต่คุณตะลุยกินของหวานๆ เสพติดมัน จนอ้วนใหญ่ หยุดไม่ได้ คุณมีศีลไม่สมบูรณ์ ทำได้อย่างมาก
4 ข้อ ไม่ใช่ 5 ข้อ

  หากคิดได้แบบข้างต้น จะพบว่า คนที่ถือศีลจริงจัง จะระงับการกินของหวาน น้ำอัดลม ชากาแฟหวานๆ ได้ในทันที ก็เหมือนที่คุณไม่กินเหล้าตลอดชีวิต คุณก็ทำได้ใช่ไหม เท่านั้นเอง

   เมื่อน้ำอัดลมพวกนี้มันเป็นเหล้ายาของคนอ้วน ทำอย่างไรจะทดแทนมันได้ ในเบื้องต้น ความกระหายยังมีอยู่ ตัดไปเลยอาจจะเกิด โยโย่ เอฟเฟ็กต์ คือ กลับมากินเหมือนหรือมากกว่าเดิม ดังนั้น ผมขอเสนอสูตรที่ผมเคยลองมาบ้างแล้วดังนี้

    1.ทำน้ำผลไม้กินเองเสียให้หมดเรื่อง สำหรับผม ง่ายที่สุด น้ำมะนาวครับ ที่คั้นน้ำมะนาว 1 ชุด, เหยือกน้ำ, น้ำ ใช้มะนาว 2 ลูก เปรี้ยวสุดครับ หากต้องการเย็นก็น้ำแข็ง 1 ถุง เท่านี้ก็สบายแล้วครับ กินแทน น้ำอัดลม เครื่องดื่มหวานๆ ได้อย่างสบายใจ

    2. คนไม่ค่อยมีเวลานะครับ เครื่องดื่มพวกนี้ มันเด่นที่ความเย็น คุณน่าจะติดความเย็นมานานแล้ว ซื้อน้ำแข็งมา 1 ถุง กินกับน้ำดื่มแล้วรับความหวานจากผลไม้ ครับ ซื้อผลไม้มาสัก 2 ถุง 20-30 บาท เท่านี้ก็สุดยอดแล้วครับ

  หมายเหตุ กินแล้วก็อย่าทีเดียวเป็นลิตรนะครับ จิบๆ ดื่มๆ ไปเรื่อยๆ เอาสบายตัวครับ น้ำอะไรก็ตามกินเข้าไปมากเกินไป ไตวายได้ครบ

  หากยังหิว ตบท้ายด้วย ถั่วครับ 1 ถุงเล็กๆ ซื้อแบบที่ขายถุงละ 10 บาทในร้านสะดวกซื้อก็ได้ ทำไมต้องกินถั่ว มีงานวิจัยบอกว่าการกินถั่วจะทำให้เรารู้สึกอิ่มครับ ผมลองทีไรอิ่มจริงๆ

   เท่านี้เราก็ยังสดชื่นกับการดื่มเครื่องดื่มได้ ไม่มีคาเฟอีน อีกด้วย ต้องลองดูครับ

 สวัสดี