Tuesday, April 30, 2013

ยินดีต้อนรับ คนรักเพาะกาย



                                                      "ร่างกายแข็งแรงย่อมดีกว่า"


อย่าพลาดโอกาสนะครับ สำหรับ การได้เรียนรู้ เนื้อหาด้านการเพาะกาย

ไ่ล่เรียงมา 3 ปี 100 กว่าบทความอ่านกันฟรีๆ โดยคนที่เล่นเพาะกายจริงๆ 
คอลัมน์ด้านขวา ด้านล่าง มุม Blog Achive มีรายชื่อบทความรอคุณอยู่
ไม่ต้องจ่ายเงินแพงๆ ก็ฝึกเพาะกายเองได้ ที่บ้าน หรือ ยิม ตามใจคุณ
สวัสดี ครับ

คุณบอลล์ :0)

Monday, April 22, 2013

อุปกรณ์ต่อไปหลังมี ดัมบ์เบล ดีๆ แล้ว น่าจะเป็นตัวไหน ในทัศนะของผม

สวัสดีครับ คนรักการเพาะกายทุกท่าน

     ผมเคยเขียนแนะนำเรื่องการซื้อ เข็มขัดฝึกเพาะกาย ถุงมือ รวมทั้ง ดัมบ์เบล ไปแล้ว วันนี้ ขอแนะนำว่า สิ่งที่เราน่าจะมีไว้ครอบครองก็คือ ม้านั่งเพาะกายครับ ทำไมผมจึงแนะนำว่า ควรเป็นอุปกรณ์ประกอบการเพาะกาย ที่เราควรมี มาอ่านกันดีกว่าครับ


      คนที่ตั้งใจฝึกเพาะกาย สายดัมบ์เบลและ บาร์เบล จะพบว่า  ท่าสารพัดท่า ในการเพาะกาย จะมีการใช้ม้านั่งเพาะกาย ประกอบ หรือ สนับสนุนอยู่จำนวนมาก เช่น การนั่งยกน้ำหนัก ออกกำลังกาย กล้ามเนื้อส่วนไบเซ็ป ไตรเซ็ป หลัง หน้าท้อง กระทั่ง หน้าอก เราก็ใช้ ม้านั่ง เพาะกาย กันทั้งนั้น ดังในรูป




        ม้านั่งเพาะกาย แบบทั่วๆ ไป

                   
ม้านั่งแบบปรับได้


             ผมจึงขอแนะนำครับ หากอุปกรณ์ตัวต่อไปยังนึกไม่ออก ก็นี่ล่ะครับ Bodybuilding Bench ครับ เนื่องจากใช้เนื้อที่น้อย ติดตั้งไม่ต้องใช้ความรู้อะไรมาก ซื้อมาวางในพื้นที่ว่างๆ ในบ้าน ก็เหมือนไปยิมจริงๆ แล้วครับ ว่าไหม

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)

 
       

Sunday, April 21, 2013

หากต้องการความยืดหยุ่น ที่มิใช่เพียงภายนอก ต้องนี่เลยครับ แกว่งแขน

สวัสดีครับ

  นักเพาะกายที่รัก การเพาะกายจะมีผลลัำพธ์ที่ดีเราต้องมีการ ยืดเส้น ยืดกล้ามเนื้อก่อนเล่น และหลังเล่นต้อง CooL Down อีกด้วย อ้อ ก่อนเล่น ก็ต้อง Warm up ด้วยนะครับ

   ในสไตล์การเล่นของผม ผมจะถือว่าเวลาการเพาะกายเป็นเวลาสำคัญ จะไม่ทำแบบเล่นๆ ต้องตั้งใจ แต่คงไม่ถึงขนาด หน้านิ่วคิ้วขมวด นะครับ แต่จริงจังในการเล่น โดย ขณะนี้ผมก็ยังนำการออกกำลังกายแบบจีน มาร่วมออกกำลังไปด้วยคือเรื่องของ การแกว่งแขน

    การแกว่งแขนนี่ ต่อไปจะดังกว่านี้ เพราะว่า ขณะนี้ภาครัฐก็มีโฆษณา ออกมาแล้ว ที่เป็นนางผีเสื้อสมุทร จับคนอ้วนไปกิน จำกันได้ไหม ก็รณรงค์ให้ เดินเร็ว กับแกว่งแขน พอดี นายคนนั้นแกว่งแขนจนผอมสามารถรอดออกมาจากกรงขังได้ เลยรอดตัวไป ผมว่าหลายท่านน่าจะเห็นกันแล้ว

      การแกว่งแขนต้องมีอะไรดีๆ แน่ๆ เพราะที่ประเทศจีน เมืองที่มี มวยจีนสำหรับการออกกำลังกายมากมายหลายประเภท เขายังนิยมการแกว่งแขนกันนะครับ ตามตำนานเล่าว่า เป็นวิธีออกกำลังกายของท่านตักม้อ ผู้ไปก่อตั้งวัดเส้าหลินนั่นเอง ทำแล้วจะทำให้สุขภาพดี และ อาจทำให้หายจากโรคร้ายได้นานาชนิดได้ อันนี้ลองไปต่อยอดค้นหากันเอาเองครับ

     การแกว่งแขนผมได้ลองมากับตัว พบว่า มีผลจริงครับ โดยเฉพาะคนอ้วนๆ อย่างผม ที่ตื่นนอนไม่ค่อยจะรู้สึกอิ่ม เพราะฝันเก่ง ทำให้นอนหลับไม่สนิท ตัวผมเอง เมื่อมาแกว่งแขนพบเลยว่า เลือดลมเดินดีมาก และเริ่มหลับสบายขึ้นเรื่อยๆ  ทำไมเป็นแบบนั้น

     การแกว่งแขนสอดคล้องกับทฤษฎีแพทย์จีนที่ว่า เมื่อเราเจ็บป่วย บริเวณใด นั่นแปลว่า มีการคั่งของพลังชี่ ที่บริเวณนั้น ทำให้เกิดการติดขัด ประมาณว่า พลังงานลบ ออกไม่ได้ บวกก็เข้าไม่ได้ เลยป่วย ทีนี้ การแกว่งแขนนี่นะครับ มันคือการขยับแขนทั้งท่อน ยืนทำ ต้องออกแรงทั้งตัว การแกว่งแขนที่ถูกต้องทำอย่างไร ลองหาในอาจารย์ google ครับ  พอแกว่ง เลือดลมมันก็ต้องเดิน ก็แกว่งเสียขนาดนั้น จริงๆ ไม่ได้แกว่งแรงอะไร เลือดมันก็ต้องเดิน  พอเลือดมันเดิน เพราะการแกว่งแขน มันก็ไปดัน พวกที่อุดตัน พลังชี่ลบก็จะเคลื่อนตัวออก เกิดพลังชีบวกไปแทนที่ และหมุนเวียน สุขภาพก็กลับคืนดีแน่นอน

     ในทัศนะของผม มันคือการออกกำลังกาย ที่พร้อมสำหรับคนมีวาสนาทุกท่าน เพราะอะไร เพียงท่านมีบริเวณ ประมาณ พื้นที่ ข้างเตียงไม่ต้องมาก ท่านก็ทำได้แล้ว แต่มีกฎเหล็ก ว่า

            "ห้ามทำในห้องอับลมเด็ดขาด"

     เพราะเรากำลังพูดถึงแกว่งแขนแล้วพลังชี่เดิน มันไปเอาพลังมาจากอากาศด้วยครับ หาก ไม่มีอากาศถ่ายเท พาลจะทำแล้ว อาการทรุดกว่าเดิมแน่ๆ ครับ

     ถามว่าหากจำเป็นต้องออกกำลังแกว่งแขนในห้องทำอย่างไร ก็ต้องทำให้ มีทางลมเข้าและทางลมออก ทางลม เข้า-ออก คืออะไร

     ผมขอนิยามว่า ต้อง อย่างน้อย เยื้องๆ กัน ห้ามอยู่ด้านเดียวกันครับ เช่น ประตูอยู่ทิศเหนือ หน้าต่างหรือประตูหลังย่อมอยู่ทิศใต้ เราต้องเปิด ทั้งสองทิศ น่ัะเอง สาวๆ อยู่ตามคอนโด หรือ กระทั่งหนุ่มๆ ก็ควรจะ ระวังประตูหน้านะครับ อย่าไปเปิดอ้า เพราะโจรจะถือโอกาสเข้าห้องได้  ต้องมี สายล็อค หรือสายคล้องๆไว้เสมอ ใครไม่มีให้ไปซื้อมามาติดตั้ง แล้วค่อยแง้มประตูให้ลมเข้าเท่าที่ทำได้ หาอะไรไปกันไว้ก็ได้ แต่ต้องคล้องสายคล้องไว้นะครับ

     ที่สำคัญสำหรับคนอยู่ที่คอนโด ควรเปิดแง้มประตูพร้อมสายคล้อง กันคนเปิดเข้ามา ไว้สัก 1-2 ชั่วโมงล่วงหน้า ก่อนการแกว่งแขนเพื่อไล่อากาศเดิม เมื่อคืน หรือ ก่อนหน้านี้ ออกไปจากห้องให้มากที่สุด ทำให้เนื้อที่ภายในเต็มไปด้วยอากาศใหม่ๆ มันจะคล้ายๆ เอาน้ำดีไล่น้ำเสีย ครับ ทำให้เวลาเราเริ่มแกว่งแขน มันจะมีอากาศใหม่ๆ ดีๆ มากพอ ที่จะให้เราสูด ตลอดการแกว่งแขนได้ไม่ขาด ขณะที่ลมใหม่ๆ ที่เข้ามาจะประตูหน้าต่าง ทิศใดก็ตามมันจะเติมเข้ามาเรื่อยๆ พร้อมไล่อากาศเสียที่เราหายใจออกออกไปจากห้อง

     หลังการแกว่งแขนหากมีเวลาก็ควรแง้มประตูให้ลมไหลได้ ไปอีกสัก 1 ชั่วโมง เพราะจะได้ไล่อากาศเสียออกไปหมด พร้อมๆ กับกลิ่นกายจากการออกกำลังของเราครับห้องจะได้ไม่อับ

     อ้อการแก้ปัญหาห้องคอนโดอับไม่ยากครับ เปิดประตูหลัง หน้าต่างให้กว้าง แล้วดึงม่านขึ้นให้แสงอาทิตย์ตลอดวันสาดถึง กลับมากลิ่นก็ยอมแพ้หมดครับ

      การแกว่งแขนควรทำให้ได้ อย่างน้อย 300 ครั้งสำหรับคนที่ ไม่ไหวจริงๆ หากจำเป็นก็ลองปรึกษาแพทย์ก่อน แต่วันแรกเริ่มจาก 50 ครั้ง ไป 100  ไต่ไปเรื่อยๆ ครับ สัก 4-5 วัน ค่อย 300 ครั้ง สำหรับคนที่มีกำลังวังชา แต่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ให้ค่อยๆ พัฒนาจำนวนครั้งไปเรื่อยๆ จนทำให้ได้ 30-40 นาที ครับ ที่ผมอ่านมา มีทำกันประมาณ 2000 ครั้ง ต่อวันนะครับ สัปดาห์ละ 3-4 วัน พอ

     การแกว่งแขนผมว่าไม่ต่างอะไรกับการเดินเร็วครับ และมันช่วยเรื่องความยืดหยุ่นสำหรับกีฬาเพาะกายได้ดีมาก แต่ไม่แนะนำให้ทำพร้อมกันในเวลาเพาะกาย หากเป็นแกว่งแขนเย็น เพาะกายเช้า หรือ ทำสลับวันต่อวันแบบนี้โอเคครับ เพราะเห็นว่าแกว่งแขนนี่ล่ะ เหนื่อยอย่าบอกใคร :0)

ลองนำไปทำกันดู

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)

     

Saturday, April 20, 2013

ยอดเข้าชมทะลุ 6 หมื่น ขอบคุณครับ และบทความใหม่ เมื่อนักเพาะกายป่วย

สวัสดีครับ

    วันนี้นับว่าเป็นโอกาสดีที่ผมได้พบว่า ยอดการเข้าชม บล็อกของผม มียอดทะลุ 60,000 ครั้ง เป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ กับระยะเวลาในการก่อตั้งยังไม่ครบ 2 ปีเสียด้วยซ้ำๆ นับว่า เป็นสิ่งที่สร้างกำลังใจให้กับ นักเขียน นักเพาะกายสมัครเล่นอย่างผมได้ไม่น้อย ก็จะขอใช้ยอดการชมนี้ สร้างสรรค์งานเขียนบทความด้าน การเพาะกาย การดูแลสุขภาพ ต่อไปครับ ขอบคุณทุกท่านมากๆ ครับ

    วันนี้จะขอเขียนเรื่อง เมื่อเวลานักเพาะกายป่วย เขาต้องทำอย่างไรบ้าง นักเพา้ะกาย ไม่ใช่ยอดมนุษย์ผู้ไม่มีทางเจ็บป่วยนะครับ เราสามารถเจ็บป่วยได้ครับ

    เริ่มจากวิธีคิดกันก่อน สำหรับแนวทางของผมนั้น เมื่อเราเจ็บป่วย เราควรหยุดการฝึกทันทีครับ ไม่ควรฝืนเด็ดขาด ทำไม?

    การที่เราเจ็บป่วย อาจมีการเกิดมาจาก ภายใน และ ภายนอก เช่น ภายในก็จากเชื้อไข้ที่เราได้รับมา และทำให้เราเกิดการเจ็บไข้ได้ป่วย ร่างกายอาจต้องการ การพักผ่อน เพื่อต่อสู้กับโรค และ เพื่อฟื้นฟูร่างกาย สำหรับภายนอก ก็อาจเกิดจาก การลำบากตรากตรำ ร่างกายไม่ได้พักผ่อน ทำให้ร่างกายเกิดอาการไข้ เพื่อนำพาให้ระบบทั้งระบบ ได้หยุดลง ช้าลงเพื่อ พักผ่อน สิ่งภายนอก ที่ว่านี้ อาจจะมาจากการฝึกของตัวเราเองด้วย

    ในวงการเพาะกาย บางคนอาจจะอ่านพบเรื่อง มีคนอยู่ 3 แบบที่ เพาะกายแล้วได้ผลแตกต่างกัน แบบแรงต้องพยายามมาก ทั้งๆ ที่โปรแกรมฝึกดี อาหารถูกต้อง ท่าฝึกผ่าน แต่กล้ามไม่มาง่ายๆ คนอีกแบบกลางๆ หากได้การฝึกดี ก็จะเริ่มเห็นผลของการฝึก กับแบบสุดท้ายที่เหมือน มีโครงสร้างทางธรรมชาติที่ตอบสนองต่อการเพาะกายได้ ดีเยี่ยม คือ ฝึกไม่เท่าไร ก็ได้ผลดีเยี่ยม

     จากคนทั้ง 3 แบบ ที่ว่า ผมก็คิดต่อว่า มันก็เป็นไปได้ที่จะมี คนที่ฝึกเพาะกายแล้ว ไม่เคยป่วยเคยไข้ แต่ขณะเดียวกัน อีกคนนิดๆ หน่อย ก็เจ็บก็ป่วย แบบนี้เราจึง ไม่ควรแนะนำใครก็ตามว่า หากฝึกแบบนี้เจ็บแล้วต้องซ้ำ มันไม่ใช่สูตรสำเร็จนะครับ เราควรคิดกันว่า เมื่อเจ็บป่วยแล้ว เราควรชะลอการเพาะกายลง หรือ ไม่ก็หยุดสักระยะ จะดีกว่า

     วิธีที่ผมใช้เมื่อป่วยไข้ ผมจะหยุดเป็นระยะๆ ดังนี้ครับ

ระยะต้น เพื่อรอดูอาการ เมื่อคุณแน่ใจแล้วว่า ป่วย คุณควรรอดูอาการ สัก 3 วัน ในระหว่างนี้ใ้ห้ยกเลิกการฝึกทั้งหมดในทันที ดื่มน้ำส้ม ทานยา ไปตามอาการ ดื่มน้ำมากๆ และเริ่ม ปรับพฤติกรรมการนอน ในนอนหัวค่ำ นอนให้มากขึ้น

    พ้น 3 วันเห็นว่าอาการดีขึ้น ทดลองยกน้ำหนักได้ แต่ให้น้อยกว่า ปกติ คือ เหลือเพียง 1 ใน 3 เท่านั้น
หากวันต่อมาเกิดอาการป่วยกลับมา ไม่หาย ให้เลิกการฝึกทันที

ระยะกลาง คือ ระยะที่พบแล้วว่า 3 วันไม่หายป่วย และ พอฝึกก็ยังไม่หาย ให้จัดเต็มครับ ระยะนี้ ต่ออีก 4-5 วัน ยกเลิกการฝึกทุกอย่าง ดูแลตัวเองไปครับ

ระยะยาว คือ หลัง 7 วัน ยังมีอาการอ่อนเพลียยังไม่หาย แนะนำให้ หาหมอก่อนเลย ตรวจให้ชัวร์ว่า เป็นเพียงไข้หวัด จากนั้น ก็ให้พักยาว อีก 1 สัปดาห์ หรือจนกว่า พละกำลังจะกลับคืนมา แล้วค่อย ตัดสินใจลงมือฝึก

   ผมทำตามแนวทางนี้มาตลอด กับสภาพร่างกายของคนที่ไม่ได้ออกกำลังกายเป็นประจำ ที่เล่นเหวตเป็นปี โดยไม่มีอาการเจ็บหนัก ทั้งจาก กระดูก กล้ามเนื้อเอ็น หรือ อะไรเลย เพราะหลักการนี้ ทำให้เรารู้จักอดทน ในการรอ ทำให้เราได้พักเต็มที่ ไม่ตึงไป ไม่หย่อนไป กล้ามเ้นื้อมันไม่หายไปไหนหรอกครับ ตามจริงแล้ว มีบางโปรแกรมฝึกด้วยซ้ำ ที่แนะให้ เราหยุดเลย 2 สัปดาห์ โดยไม่แตะน้ำหนักเลย เพื่อให้ร่างกายได้ซ่อมแซมตัวเอง บางตำราให้หยุดไปเลย เป็นเดือน ดังนั้น การที่เราป่วยแล้วหยุด ราวๆ 2-3 สัปดาห์ รับรองไม่มีผลต่อการฝึกครับ

    ทว่า ในทางตรงข้ามหากคุณเจ็บป่วยแล้วไปฝึก อาจมีอันตรายได้ หากร่างกายเกิดอาการช็อค ดังนั้นจงจำไว้ว่า ป่วยก็พัก ครับผม

    กรณีศึกษา/คำเตือน: นานมาแล้วเพื่อนผมคนหนึ่ง มีอาการท้องเสีย เขาเป็นอยู่หลายวัน ถ่ายท้องหลายครั้งใน แต่ละวัน ด้วยความคึก ทำให้หลังหายจากอาการท้องเสียเพียงวันเดียว เขาก็กลับไปเพาะกาย ปรากฎว่า มีอาการหน้ามืด กลับมาที่พัก หน้าซีดขาวเหมือนหายใจไม่ทัน เพื่อนรีบพาไปโรงพยาบาลพบว่า เขาขาดเกลือแร่รุนแรง เมื่อไม่ออกกำลังกายที่ออกแรงมาก จึงช็อค ดีที่ไม่เป็นอะไรมากครับ ดังนั้นต้องระวังด้วยนะครับ


Friday, April 19, 2013

การตั้งเป้าหมายในการฝึก สำคัญพอๆ กับการวางโปรแกรมฝึกเพาะกาย

สวัสดีครับ ผู้รักสุขภาพทุกท่าน

      ปลายสงกรานต์จนถึงวันนี้ ผมดันเป็นไข้ อยากเพาะกายก็ยังทำไม่ไหว ออกอาการคันไม้คันมือจริงๆ อยากจะกลับไป เพาะกายเร็วๆ ครับ วันนี้ขอเอาแนวคิดเบาๆ มาคุยกัน ก็คือ สิ่งที่นักเพาะกาย มือใหม่ กระทั่ง มือกลางเก่ากลางใหม่ ตลอดจนมือเก่าลายคราม ชอบลืม ก็คือ การวางเป้าหมายในการฝึกครับ

      ผมมีความเชื่อว่า การเพาะกาย คือการพาบุคคลหนึ่ง ก้าวล้ำ ในเรื่องกายและจิตใจ มากกว่าคนทั่วไป และการจะเป็นแบบนั้นได้ ต้องมี วินัย การจะมี วินัย แล้ว วินัยนั้น สร้างสรรค์ มิใช่ ทำลายตัวเอง ย่อมต้องมี เป้าหมาย ครับ เพราะ วินัยนั้นคิดด้วยตัวของมันเองไม่ได้ แต่เป็นเรา ที่จะใช้ วินัย ให้ เป็นไปในทิศทางไหน คำถามคือ เราจะเลือกมีวินัย แล้วเจริญขึ้น หรือ มีวินัยแล้ว ไม่ได้อะไรเลย

     การทำงานแบบมีวินัยนั้น ต้องมี ตัว สติปัญญาของเรา ร่วมทำงานไปด้วย โดย ผ่านทาง การวางเป้าหมาย จากประสบการณ์การทำงานของผม ขอแจกแจงย่อๆ ของเส้นทางเดิน ไปยังเป้าหมายดังนี้



     1.เริ่มจาก เป้าหมาย วางเป้าหมายไว้ครับว่า ประมาณ 3-5 ปี จากนี้ เราต้องการอะไร
           สำหรับในที่นี้ คือ การเพาะกายของคุณ เป้าหมาย ตัวอย่างก็เช่น

         -มีกล้ามเนื้อทุกส่วนเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยเทียบได้จากรูป Before และ After
         -กรณีคนอ้วนน้ำหนักมาก อาจจะระบุว่า น้ำหนักจะลดลง 30 กิโลกรัม /คนผอมก็อาจจะเพิ่มน้ำ
           หนักตัวจากกล้ามเนื้อสัก 10 กิโลกรัม
         -สุขภาพแข็งแรงยอดเยี่ยม มีความคล่องตัว คล่องแคล่วในการดำเนินชีวิต
         -ยกน้ำหนักที่ 3 Sets เซ็ตละ 12 Reps ได้ที่น้ำหนัก .......กิโลกรัม ได้อย่างสบาย

    2. เริ่มโดยการ นำเป้าหมายข้างต้น มาแตก ออกเป็นรายปี เช่น เป้าหมายของคุณตั้งไว้ 3 ปี ให้คุณเขียน วัตถุประสงค์ ออกมาเพื่อเป็นการทำงาน รายปี ดังนี้

    วัตถุประสงค์ ประจำปีแรก

             -เล่นกล้ามให้ครอบคลุม ทุกส่วนของร่างกาย ให้ได้ประจำทุกสัปดาห์ ให้ได้ใน 2-3 เดือน
             -คนอ้วน น้ำหนักตัวลดลงหลังเล่นกล้าม ในปีแรกต้องทำให้ได้ 10 กิโลกรัม/คนผอมต้องสร้าง
                 กล้ามเนื้อให้เพิ่มขึ้นให้ได้ 3 กิโลกรัม
             -ออกกำลังกาย แนวแอโรบิกเสริม อย่างน้อย 1 กิจกรรม เช่น เดินเร็ว แกว่งแขน ว่ายน้ำเป็นต้น
             -ยกน้ำหนัก ที่ 3 sets เซ็ตละ 12 Reps ได้ที่น้ำหนัก 20 กิโลกรัม ได้อย่างสบาย

    จากวัตถุประสงค์ข้างต้น จะเห็นว่า เป็นการ หารเอาเป้าหมาย ให้เป็นจำนวนที่ย่อยๆ ลงมา จะเรียกว่า วัตถุประสงค์ ก็คือ เป้าหมายเป็นรายปี นั่นเอง คือเราซอย งานใหญ่ลงมาเป็นงานเล็กนั่นล่ะครับ

    3. ทุกปี ก่อนจะเริ่มปีใหม่ ให้เราประเมินด้วยว่า ทำได้ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่ หากใกล้จะหมดปียังไม่ได้ ก็ต้องทำให้ได้ เพื่อประกันว่า ครบ เป้าหมาย 3-5 ปีที่ตั้งไว้ เราต้องเคลื่อนไปทางบวก คือดีกว่าเก่า ไม่ใช่เท่าเดิม หรือ ถอยหลัง จะเห็นว่า เป็นระบบความคิด ที่เข้าใจได้ไม่ยากครับ


    4. ประเมินแล้วยังต้องให้ความสำคัญกับ จุดอ่อน ที่เรามีในปีก่อน แล้วนำมาปรับไม่ให้ผิดซ้ำในปีใหม่ ทำให้ ทุกปีเราจะดีขึ้นจริงๆ เป้าหมายสำเร็จได้แน่

   5. หากทำได้ครบ ตามกระบวนการ เราจะได้กล้ามเนื้อ ที่ต้องการ ชีวิตใหม่อย่างแน่นอน ต้องมีความเชื่อมั่นครับ

โดยสรุปคือ แค่พุ่งชนไม่ได้ครับ ต้อง มีสติ ปัญญา ควบคุม และใส่ใจ กับสิ่งที่เราทำด้วยจึงจะทำสำเร็จตามแนวคำสอนของพระพุทธองค์  ที่ว่าด้วยเรื่อง ธรรมะแห่งความสำเร็จ คือ

              1. ฉันทะ รักสมัครใจทำ
              2. วิริยะ ขยันหมั่นทำ เอาจริง
              3. จิตใจ มีจิตมุ่งในสิ่งนั้น ผมคิดเองว่า ต้องใส่ใจครับ ทำแบบใส่ใจ ไม่ขอไปที
              4. วิมังสา มีการใคร่ครวญทบทวน พิจารณา ผิดแก้ ดีเสริม มองกว้าง มองลึก

   หากทำได้ ทำสิ่งใดล้วนประสบความสำเร็จครับ


สวัสดี
คุณบอลล์ :0)
             

Wednesday, April 17, 2013

ปรัชญาตะวันออก กับ แนวคิดต่อการเพาะกาย ทำได้ไหม?


สวัสดีครับ
_________________________________________________________
หมายเหตุ: อนุญาตให้โรงยิม สถานเพาะกาย ครูฝึก นักเพาะกาย โรงฝึกเพาะกาย 
                 นำบทความนี้ไปใช้ได้ทั่วประเทศเพื่อสร้างสิ่งดีๆ ให้กับวงการเพาะกาย 
----------------------------------------------------------------------------

       ทำไมผมถึงมาเขียนเรื่อง วิธีคิด ปรัชญา แรงบันดาลใจ รวมทั้งเรื่องของการ พัฒนาปรับปรุงตัวเอง ให้พวกเราได้อ่านกัน ทั้งๆ นี่มันบล็อก ทางการ การเพาะกาย ไม่ใช่หรือ?

       ผมเชื่อว่านักเพาะกายและแฟนผู้สนใจ ในบล็อกของผมคงสงสัยกันมาระยะหนึ่ง วันนี้ขอเฉลยครับ ว่า ผมเป็นคนไทยคนหนึ่ง ที่เกิดมากับการ เคารพนบไหว้ ผู้ใหญ่ ศรัทธาใน ชาติ ศาสนา และ สถาบันกษัตริย์ ซึมซับวัฒนธรรม ของการ แสดงมุฑิตาจิต มีจิตปรารถนาดีต่อผู้มีพระคุณ  ยังได้เติบโตมาจากบรรยากาศที่ มีปรัชญาทางศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม และ พราห์ม หล่อเลี้ยงมาตั้งแต่เล็กๆ (แท้จริงแล้ว พวกเราทุกคนก็เหมือนกันนั่นล่ัะครับ เพียงแต่คุณจะได้สังเกตุมันหรือเปล่า)

       ผมจึงค่อยๆ ตกผลึกความคิดว่า คนเราทำอะไร ต้องมีสิ่งยึดเหนี่ยว มีแก่นสาร จึงจะเป็นคนเต็มคนได้ และในแก่นสารที่ว่านั้น ปรัชญา วิธีคิืด คือสิ่ง ที่เราจับมาใช้งานได้ง่ายที่สุด เีพียงคิดได้ ก็เสร็จแล้ว
จริงไหมครับ

        นั่นคือสาเหตุว่า ทำไม ในบทความตั้งแต่ปีแรกๆ ผมเน้นให้ ก่อนเพาะกาย ควรจะ

    1.วอร์ม 2.ยืดเส้น และ 3. ให้ไหว้ครูก่อน เล่น

       ผมกล้าบอกว่า ผมคือบล็อกเกอร์ ด้านเพาะกาย คนแรกของไทย หรือ อาจจะของโลก ที่ระบุ ชัดๆ ไว้เลยในบล็อกว่า ให้ไหว้ครูก่อน เล่นเพาะกาย เพราะ ฝรั่งมันบอกว่า กีฬาเพาะกาย เป็นกีฬาของเทพเจ้า ดังนี้แล้ว จะมาเล่นพร่ำเพรื่อ โดยไม่ระบุ ไม่นับถือไม่ได้ครับ และวัฒนธรรมไทยเรา การไหว้ครู ถือว่า เป็นการแสดงความกตัญญู กตเวที อีกด้วย

        อ้างอิง บทความที่ว่านี้ เชิญอ่าน ผมไหว้ครู ก่อนการเพาะกาย ทำไม?

      ข้อต่อมา ผมอยากวางรากฐานใหม่ ให้กับ การเพาะกายในประเทศไทย ที่จะเป็นผู้นำทางความคิดใหม่ๆ ให้กับกีฬาทั่วโลก เอาง่ายๆ คือมีฝันว่า กีฬาทุกประเภทควรมีการไหว้ครูก่อนเล่นครับผม

      ข้อต่อมา การเพาะกาย ซามูไร คาราเต้ มวยไทย หรืออะไรที่คล้ายๆ กัน เขาจะให้ความสำคัญกับ แนวคิด ปรัชญา ในการต่อสู้ ที่เน้นไปในทางสันติ สร้างสันติภาพ สร้างตัวตน สร้างการรู้จักตัวเอง มีวิธีคิด เป็นขั้นเป็นตอน อาจารย์ นอกจากจะสอนการต่อสู้ ยังสอนเรื่อง การครองตน การมีความอดทน อดกลั้น และคุณธรรมอื่นๆ ให้ลูกศิษย์

      ฝรั่งหรือคนจากภูมิภาคไกลจากเอเชียใต้ เอเชียตะวันออก จะชื่นชมแนวคิดดังกล่าวมาก เราจึงเห็นคนต่างชาติ หน้าแปลกๆ มาฝึกวิชา มวยไทย คาราเต้ ยูโด กันมากในภูมิภาคนี้ เขาไม่ได้มาหัดแ่ค่การเตะต่อย แต่เขามาซึมซับ ภูมิปัญญาทั้งหมดของเราต่างหาก หนึ่งในนั้นคือ ปรัชญาของตัววิชาครับ

      คำถามของผมคือ เป็นไปได้ไหม ที่เรา จะค่อยๆ สร้างปรัชญาการเพาะกาย แบบไทยๆ ขึ้น จนเราสามารถ สร้าง การเพาะกาย แบบ สยาม สไตล์ ขึ้นมาได้ อาจจะเรียกว่า Thai Bodybuilding - Siam Style 
อะไรประมาณนี้ แนวคิดนี้ ผมไม่หวงนะครับ ให้มีกำลัง ทำได้ทำไปก่อนเลย ผมว่าหากเราสร้างองค์ความรู้ใหม่ตรงนี้ได้ มันจะนำสิ่งๆ ดีๆ มาสู่ชื่อเสียงของประเทศเรา ครับ

     เอาล่ะ สำหรับคนตัวเล็กๆ อย่างผม ก็ขอเขียนไปเรื่อยๆ สร้างแนวคิด ใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ เพื่อให้เรามีแนวคิดร่วมกัน ในฐานะนักเพาะกายครับ เอ้าเข้าเรื่องกันดีกว่า

     ขอตอบหัวข้อบทความก่อน    ตอบว่า ทำได้ครับ   วันนี้ เอาปรัชญาทางพุทธ ผ่านศีล 5 มาใช้กันเลย รับรองสอดรับกับการเพาะกายได้อย่างแนบสนิทครับผม

 ศีล 5 กับการเำพาะกาย

1. ไม่เบียดเบียนสัตว์

     เราสามารถมองได้ในแง่การฝึกเพาะกาย ต่อตัวเรา เช่น ไม่เบียดเบียนตนเอง โดยการฝึกหนักเกินไป ใช้น้ำหนัก อย่างไร้ความคิด ต่อผู้อื่น เช่น การแบ่งกันใช้ สำหรับอุปกรณ์ต่างๆ สำหรับผู้ให้บริการ ก็ต้องมีราคา ที่ยุติธรรม อุปกรณ์สะอาดมาก เพื่อไม่ให้นักเพาะกายต้องติดเชื้อ เป็นต้น
     หากมองในด้านมารยาท ก็ไม่ควรยกตนข่มท่าน ว่าตนกล้ามใหญ่ ซิกแพ็ค สวยเหลืั้อเกิน ดังนั้นวิธีการฝึกของตัวเองถูกต้องที่สุด อย่างนั้น อย่างนี้ เราเองฟังแล้วก็อย่าเบียดเีีบียนความคิดตัวเอง เชื่อเขาทันที ต้องรูจัก ค้นคว้าเองด้วย จงสร้างบรรยากาศของมิตรภาพ ของคนในวงการเดียวกัน ไว้เสมอ
   
      หากมองในแง่การครองตน เมื่อเรามีกำลังมากกว่าคนธรรมดา ก็อย่าได้ใช้กำลังข่มเหงคนอื่น หากใช้เพื่อปกป้องคนที่เรารัก ปกป้องคนดี มีเรื่องต้องหยิบจับ ก็อาสา โดยกำลังแรงของเรามีมากกว่า อย่านั่งเฉยๆ เลี้ยงกล้าม แต่ไม่ชอบออกแรง เป็นต้น

      หากมองในแง่การสงเคราะห์ ก็ควรแนะนำ ผู้ที่มีโอกาส ผู้ที่สุขภาพไม่ค่อยดี ให้ลองปรึกษาหมอ แล้วลองมาเพาะกายด้วยกัน เพื่อช่วยกันสร้างสุขภาพที่ดี ไม่รู้เรื่องใด ไม่แนะนำเรื่องนั้น แต่สอบถามผู้รู้ในวงการเพาะกาย ค่อยแนะนำผู้อื่น เป็นต้น
 

2. ไม่ลักทรัพย์

      อันแรกเลย ในฐานะคนเขียนบล็อก อย่าได้เอาแนวคิดใครเขาไปเขียนต่อ โดยไม่มีการอ้างอิง และไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง คือ Copy ไปทั้งดุ้น ควรมีการทำ ลิงค์ กลับมายังไซต์ต้นฉบับด้วย

      การเพาะกาย อาจมีการหยิบยืมหนังสือ ข้อมูลกัน ก็อย่าให้ต้องตามทวง ควรมีมารยาท คืนเขาตามที่นัดไว้ ของยืมไม่คืน คือ การขโมย อย่าได้คิดแต่ไปใช้อุปกรณ์ของเพื่อน บ่อยๆ เข้า ก็ไม่ต่างอะไรกับการไปลักเวลา การใช้งานของเขา ไปลักเวลาอายุการใช้งานของเขา

      การลอกท่าฝึกถือเป็นครูพักลักจำ มันคือ การลักทรัพย์แบบหนึ่ง จะดีกว่าไหม เข้าไปทักทายพูดคุย ขอให้เขาสอนดีๆ ได้เพื่อน ได้ครู ได้ออกกำลังถูกวิธี

      ใช้เวลาในอุปกรณ์ หรือ เครื่องออกกำลังกาย แต่พอดี อย่าจองถนน อยูคนเดียว ควรออกแบบโปรแกรมการฝึก ที่ดี แล้วยังต้อง แคร์ ใจนักเพาะกายคนอื่น ที่มายืนรอแล้วรออีก อีกด้วย

      เห็นครูคนไหนแนะนำใครอยู่ อย่าเข้าไปขัดคอ เขา เรียกว่า ลักเอาความเคารพ คืออยากให้คนที่ถูกสอนมานับถือตน แบบนี้เรียกว่า ยังไม่โต รอให้เขาสอนก่อน แล้วค่อย ไปแนะนำแนวทางของตน ที่บริเวณอื่นๆ


3.ไม่ประพฤติผิดในกาม

      ในโรงฝึกต้องให้เกีีียรติ เำำพศตรงข้าม หรือ กระทั่ง เพศเดียวกัน ต้องแยกแยะให้ออก ว่า การฝึกจะต้องละเว้นเรื่อง กามารมณ์

    ต้องระมัดระวังเมื่อเห็นใครมาฝึกเป็นคู่ ก็อย่าไปอวดดี แทรกแซง แนะนำโน่นนี่ โดยไม่สนใจอีกคน เอาใจเขามาใส่ใจเรา ทักทายพองาม ไม่พูดมาก ปล่อยให้คู่เขาดูแลกันเอง หากมีการแนะนำ ก็ต้องทำสำหรับทั้งสองคน อย่าได้ ไปแยกคู่เขา ไม่ใกล้ชิดเกินไป ต้องรักษาระยะห่างให้ได้ จะได้รับการเคารพนับถือจากคนในวงการ

    นอกโรงฝึกไม่ถือเอารูปร่างอันงดงาม กล้าแกร่ง จากการเพาะกาย เป็นเครื่องมือในการ สร้างสัมพันธ์ที่ผิด กับ ลูกเขา เมียใคร มีความรับผิดชอบ ไม่เป็นพวกเจ้าชู้ัยักษ์ (จีบและลวนลาม) เจ้าชู้ไก่แจ้(จีบดะ)
ง่ายๆ คือ กูมีเกีียรติ กูมีอาจารย์ ก็ไม่ทำ พอครับ

4. ไม่พูดเท็จ

    สิ่งไหนไม่รู้ บอกไม่รู้ แนะนำ ให้ถามคนที่รู้จริง เมื่อบอกสอนท่าเพาะกาย จงตั้งใจแนะนำให้ครบถ้วน อย่าได้อำความ อย่าได้จินตนาการคิดเอาเอง ว่า ทำท่านี้ ได้อย่างนั้น ผลลัพธ์อย่างนี้ หากไม่รู้จริงๆ แนะนำสิ่งใดผิด ให้รีบแก้ไข อย่าได้ละอาย เพราะการแนะนำผิด อาจสร้างอันตรายกับผู้ฝึก

    ไม่อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง และอะไรอื่นๆ ทีพูดออกไปแล้วไม่ดี อย่าพูด

5. ละ้เว้นจากสิ่งมึนเมา

    ไม่ใช่แค่การงดดื่มสุรา ยาเมา บุหรี่ นักเพาะกายห้าม พวกนี้เด็ดขาดนะครับ แต่ยังเป็นเรื่องของ การฝึกแบบไม่บันยะบันยัง เล่นกล้ามหัวทิ่มทีเป็นชั่วโมง มีเว็บดีๆ บอกไว้แล้วว่า หัดเพียงวันละ 30 นาท ก็มีกล้ามสวยเป็นแชมป์ได้ แต่เรากลับเล่นทีละ ชั่วโมง 2 ชั่วโมง มันเกินความจำเป็นครับ อะไรที่ทำแล้วหยุดไม่ได้ ซึมกับมันนานๆ ก็คือ ความมัวเมา เ่ช่นกัน

     อีกอย่างที่คาดไม่ถึงคือ การค้นหาข้อมูลทุกวัน วันละนานๆ เรื่องเพาะกาย อ่านมันทั้งปี ไม่มีพัก แบบนี้ก็มัวเมาครับ ถามว่า หนักหัวใครไหม ไม่ครับ แต่หนัก เรื่องพลังชีวิตคุณน่ะ ผมเคยเล่าไว้ มีหมอเทพของจีน รักษาหายทุกโรค แต่ตัวเอง ตายแค่ 40 กว่า เพราะ มียาวิเศษ แต่ พลังชีวิต หรือ ชี่ ไม่เหลือแล้ว ก็ต้องตายครับ ตำนานเล่าว่า ท่านเล่นหมากรุกจีน ค่ำๆ ยันสว่างแทบทุกวัน ผมถามว่า ท่านที่มัวเมาเล่นเว็บ จะอะไรก็ตาม นอนไม่เป็นเวลา ท่านจะอายุยืนกว่าหมอ ท่านนี้ ผู้ซึ่งรู้จักการรักษาและดูแลตัวเองเลิศกว่าใครในโลกไหม?

 
ครับนี่เป็นแนวคิดของผม พบกันในบทความต่อไป :0)

คุณบอลล์ :0)

Wednesday, April 10, 2013

การเพาะกาย หรือ การควบคุมน้ำหนักตัว ควรจะเริ่มเมื่อไร และ อย่างไรดี

สวัสดีครับ คนรักสุขภาพทุกท่าน

    บทความนี้ขอแนะนำสำหรับคนที่เพิ่งจะเริ่มมาจับการเพาะกาย ครั้งแรก ไม่ว่าจะ เป็นคนอ้วนมาเพาะกาย หรือ เป็นคนผอมมาเพาะกาย การเริ่มต้นย่อมเหมือนกัน คือ เพาะกาย กันเสียที สำหรับคนที่ควบคุมน้ำหนัก ก็เหมือนกัน มันต้องเริ่มเสียทีครับ

     การเพาะกาย หรือ การควบคุมน้ำหนัก นั้น ไหนๆ จะเริ่มแล้ว ผมอยากให้ผูกเขาเข้ากับ วันสำคัญของไทย และบทความนี้ก็เขียนในเวลาอันเหมาะสม คือ อีก 2 วันก็เข้่าช่วงเทศกาลสงกรานต์ บ้่านเราแล้ว ผ่านวันที่ 13 เข้าวันที่ 14 ก็เริ่มปีใหม่กันล่ะ ปีใหม่ฝรั่งเขามีการ ตั้งความตั้งใจปีใหม่ ว่าจะเป็นคนดี เปลี่ยนตัวเอง สร้างสิ่งดีๆ ให้ตัวเอง หรือที่เรียกกันว่า Resolution นั่นเอง แล้วปีใหม่ไทย ล่ะ เราไม่ลองตั้ง Resolution ของเราบ้างหรือ?

    ให้คุณตั้งใจเลยครับ ว่า ปีใหม่ไทยนี้ เราจะเริ่มการเพาะกาย และจะทำต่อเนื่อง 3 เดือนแรกให้จงได้ จากนั้น ขยายไปอีก 3 เดือน แบบนี้ไปเรื่อยๆ ครบ 4 รอบ ก็ครบปีพอดี ลองมานึกภาพตามผมนะครับ


                         คุณรู้จักชายคนนี้ไหม? ท่านผู้นี้คือ ปิกัสโซ่ ศิลปินนามกระเดื่องของโลกเจ้าของวลีเด็ดข้างต้น สิ่งที่คุณจินตนาการได้ คือความจริง

                             เอ้า ขอแถม วลีเด็ดๆ ของท่าน ให้อีก สัก 1 line




                                       "Art is a lie that makes us realize the truth"
                                 แปล ศิลปะนั้นคือ การมุสา ที่ทำให้เราได้ ตระหนัก ถึง สัจธรรม

    สงกรานต์ปีหน้า ปี พ.ศ. 2557 คุณทั้งหลาย หยุดไปเที่ยงสงกรานต์ หรือ พักอยู่กับบ้าน หรือจะหย่อนใจอะไรก็ตาม แต่คุณมีรูปร่าง ที่เฟิร์ม และ ฟิต สุดๆ คนผอมก็ดูหนาสง่าขึ้น คนอ้วนก็ดูเฟิร์ม แข็งแกร่งขึ้น ไปไหนก็มีความมั่นใจ อันเป็นผลมาจาก การเพาะกาย ที่ได้ ทั้งพลังกาย และ พลังสมาธิ คุณว่าคุณจะมีความสุขในสงกรานต์ ปีหน้าขนาดไหม จริงไหมครับ

   คุณอยากให้ปีหน้า คุณมีสุขภาพดีเยี่ยม มีพลังเพิ่มมหาศาล หรือ อยากให้มันเป็นไปตามยถากรรม คุณเท่านั้น ที่เลือกได้ จริงไหม

   สำหรับคนที่ควบคุมน้ำหนัก  1 ปีผ่านไป คุณจะมีน้ำหนัก ลดลงประมาณ 10 กิโลกรัม เพราะลดข้าวเย็นที่เป็นแป้งลงและออกกำลังกาย คุณว่าน่าจะดีไหม จินตนาการตามผมมาสิครับ คุณเดินไปกับเพื่อนก็คล่องแคล่วไม่เหนื่อยง่าย ไปกับแฟน ก็มั่นใจ ไปกับครอบครัว ทุกคนทึ่งว่า คุณได้เปลี่ยนไปในทางที่ดี
ทุกอย่างดีขึ้นหมด ด้วยการควบคุมและลดน้ำหนักลงไป เพียงเรื่องเดียว แต่ให้คุณ กับคุณ นานับประการ เคยสงสัยไหมว่า ทำไมคุณไม่ลงมือทำ ลองถามตัวของคุณเองครับ

   ผมมีแผนของผมแน่นอน นั่นคือ การที่ผมจะผอมลงราวๆ 10 กิโลกรัมให้ได้ และผมจะเป็นอย่างที่ผมจินตนาการเอาไว้ข้างบน และผมจะเล่นเหวต ควบคู่ไปด้วย ใครล่ะครับที่ห้ามไม่ให้เราทำสิ่งดีๆ พร้อมๆ กัน หรือคุณจะลองทำแบบผม? คุณนั่นอีกล่ะที่จะให้คำตอบ

สวัสดีครับ
คุณ บอลล์ :0)

Tuesday, April 9, 2013

แนะำนำหนังสือ ดี จากคนในวงการเพาะกายไทย

สวัสดีครับ

    ตัวผมเองก็นับว่าเป็นนักเพาะกาย แต่เป็นแบบสมัครเล่น คือเล่นด้วยใจรัก เนื่องจากเป็นคนตัวใหญ่สักหน่อย(จริงๆ ก็ไม่หน่อยล่ะ ฮ่ะๆ) ทำให้ต้องเล่นกล้าม แบบลดลงมา ไม่ใช่ สร้างขึ้นไป ซึ่งปกติการสอนกันในสื่อจะเน้น คนรูปร่างปกติ ไม่อ้วน ทำให้ เรามักจะเห็นประโยค คุ้นหูว่า ต้องทำน้ำหนักขึ้นไปก่อนแล้วค่อยรีดลงมา ประมาณนี้ แต่ในทางเทคนิดมันมีอะไรมากกว่านี้ นะครับ ไ่ม่ใช่แค่นี้
 
    ตัวผมต้องเล่นแบบกลับกัน คือ มีทั้งแรง บวกไขมันเป็นของแถม ทำให้เล่นได้ค่อนข้างอึดและทน ก็ต้องค่อยๆ ปรับการกินพวกแป้งลงมา ขณะที่เล่นกล้ามอยู่ก็ต้องกิน 6 มื้อ แเละต้องระวังไม่ให้กินแคลอรี่มากไปน้อยไป โอย คนอ้วนนี่เล่นกล้ามมันยากเหมือนกัน แต่หากเราเอาจริง ก็ทำได้ครับ

     เกริ่นมาเสียยาวเลย ประเ็ด็นคือ ผมเป็นนักเพาะกายสมัครเล่น พอมีความรู้อยู่บ้าง อาศัยว่าเป็นนักอ่านตัวยง และ นักค้นคว้า พอขีดเขียนได้บ้างก็เลยทำบล็อกนี้ขึ้นมาครับ แต่มีหรือเราจะไปต่อกรกับนักเพาะกาย ที่มีตำแหน่งระดับรางวัล และอยู่ในสายอาชีพได้ หากขีดๆ เขียนๆ แต่แนวคิด ที่ผมค้นคว้ามามันก็จะกร่อย จึงได้มองหาหนังสือดีๆ ตามแผงและผมก็เจอเล่มนี้ครับ


      ผมชื่นชมงานของเขามาตั้งแต่ เล่มแรก "หล่อล่ำคุณทำได้" ปกสีขาวๆ ครับ

               



        นับว่าเป็นคนหนุ่มไฟแรงที่สามารถเป็นแบบอย่างในการ เพาะกาย ได้เป็นอย่างดี เล่มแรกก็เน้นเครื่องมือ หรือ Machines, บาร์เบล และอื่น แต่เล่มเหลือง เน้น ดัมบ์เบลล์ ครับ (และทั้งสองเล่มก็เน้นการเพาะกายทุกส่วนของร่างกายครับ) ซึ่งผมชอบมาก เพราะว่าตรงกับแนวคิด ในบทความที่ผมเคยเขียนเอาไว้ว่า ดัมบ์เบลล์ เพียง 2 ลูก กับน้ำหนักที่เหมาะสม  กับการออกกำลังที่ถูกท่า และ วิธี เรามีกล้ามได้เหมือนการเพาะกายอาชีพ

       อยากให้ไปลองหาอ่านกันครับ ผมไปซื้อที่้ร้าน ซีเอ็ด ครับ

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)  

Monday, April 8, 2013

วาบความคิด อาจช่วยชีวิตคนทั้งโลกแม้ในสงคราม

 สวัสดีครับ

     ผมเขียนเรื่องสุขภาพ การเพาะกาย และ การออกกำลังกายมาได้จะ 2 ปีแล้ว พฤษภาคม ศกนี้ ต้นเดือนก็จะครบ 2 ขวบแล้วครับสำหรับบล็อก ของผม วันนี้อยู่ๆ ก็เกิดไอเดียขึ้นมา เพราะดูช่อง True Explore 2 ที่ฉายสารคดีสงครามโลกครั้งที่ 2 คนตายกันเป็นเบือ เลยเกิดไอเดียนี้ขึ้นมาว่า

     กระสุนในทุกรังเพลิงของปืน เราเปลี่ยนจาก กระสุนจริง มาเป็น กระสุนหัวเพ้นท์บอลล์ ได้ไหม พอเกิดสงคราม ก็ยิงกันด้วยเพ้นท์บอลล์นี่ล่ะ แต่อาจจะใช้สารเคมี หรือ อะไรก็ตามที่ทำให้คนที่โดนยิงแค่ สลบไปสักเป็นวัน ไม่ต้องให้ตายกัน แบบนี้ล่ะได้ไหม



         พอมีสงคราม ก็เอาืปืนกระสุนเพ้นท์บอลล์ หรือ กระสุนสารยาสลบ มายิงกันมันก็น่าจะได้นะ ไม่เข้าใจว่าทำไม ต้องยิงกันให้ตายไปข้างหนึ่ง ผมเพี้ยนไหม อาจดูแปลกๆ แต่ทำไมทำสงครามต้องเอากันให้ตาย เคยมีคนฉุกคิดกันไหม?

     หรือแทนที่จะยิงกัน ก็จัดแข่งแบบเกมส์ออนไลน์ ไปเลย เห็นบอกว่า เดี๋ยวนี้คอมพิวเตอร์ทำได้เหมือนจริงแล้วไม่ใช่หรือ ก็ให้ ทหารจำนวนเท่าจริง มาถือปืนรบกันในสนามรบเหมือนจริง ใน Google Map แล้วยิงกันในโลกเสมือนกันดีไหม ร้านค้าผ่านเน็ตก็มีแล้ว ประมูลผ่านเน็ตก็มีแล้ว ขายของผ่านเน็ต ก็มีแล้ว แม้กระทั่งการผ่าัตัด แบบทางไกลก็มีแล้ว ทำไม รบกันแบบเวอร์ชวล เรียลลิตี้จะทำไม่ได้

     ขี้เกียจเขียนต่อ มันวาบความคิดจริงๆ คิดได้ประมาณนี้

 สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)

เบื่อแต่งตัว เบื่อเดินทาง เบื่อๆๆ ไม่ใช่ข้ออ้างสำหรับการเต้นแอโรบิค

สวัสดีครับ

      การออกกำลังกาย หลายๆ ท่านไม่สามารถทำได้ เพราะความน่าเบื่อที่ต้องทุ่มเทบางอย่างลงไป เช่นต้องลุกมาแต่งชุดกีฬา ต้องเดินทางไปสนามกีฬาที่อยู่ำไกลมาก แค่คิดก็เบื่อแล้ว ผมมีทางออกง่ายๆ ให้พวกท่านครับ

     ถ้าเราตื่นขึ้นมาแล้ว ล้างหน้าล้างตา สวมชุดสบายๆ ใส่รองเท้ากีฬาแล้วออกกำลังกายได้เลย คุณว่าดีไหม? ไอเดียของผมคือ การเต้นแอโรบิค ในที่ร่ม ในบ้านนี่ล่ะครับ แต่ขอให้ ทำให้มีอากาศถ่ายเทดีๆ ก่อนครับ ก่อนจะออกกำลังกายแบบนี้ เช่น เปิดแง้มประตูไว้หน่อยให้ลมเข้า (ระวังเรื่องความปลอดภัยด้วยล่ะ) เปิดหน้าต่างทุกบาน ทำยังไงก็ได้ ให้ ลมเข้ามาแล้วมีทางออกครับ

      เมื่อทุกอย่างพร้อม ก็เริ่มเต้นแอโรบิคกันเลย... อ้าว แค่เนี้ย? ไหงบทความคราวนี้มันง่ายๆ พิกล... ยังครับ สิ่งที่เราต้องเตรียมตัวมาก่อนนี้คือ ให้ไปเดินตามห้างนะครับ ร้านหนังสือ น่าจะมีสิ่งนี้้ขายนั่นคือ DVD เต้นแอโรบิค มีหลายสไตล์ครับ ดูจากหน้าปก เลือกแบบที่คุณชอบ ผมแนะำนำให้ลองไปเดินหาที่
ร้านหนังสือ SE-ED ครับ แผนกกีฬาของห้างก็น่าจะมี หรืออาจสั่งซื้อผ่านเน็ต ก็น่าจะได้ เอาเป็นว่าต้องหา DVD แอโรบิค มาให้ได้ครับ




      จากนั้นก่อนจะเต้นก็ให้ลองเปิดดู สัก 20 นาทีว่าครูฝึกเขาเน้น เขาสอนอย่างไร ดูให้เกิดแรงบันดาลใจว่า คนในจอโทรทัศน์น่ะ ไม่ได้แก่กว่าเราเท่าไร แต่เขาคล่องแคล่วได้ขนาดนั้นได้อย่างไร เราล่ะทำได้ไหม แบบนี้ แล้วค่อยเตรียมตัวเพื่อจะเต้นแอโรบิคในเช้าวันรุ่งขึ้น ที่ไหน? ก็ที่บ้าน ที่พักคุณนั่นล่ะ ว้าว ไม่น่าเชื่อเลยนะจอร์จ อยู่บ้านก็ออกกำลังกายได้ เยี่ยมเลยเจน มันเยี่ยมมาก...ว่าเข้านั่น ฮ่ะะะ

       ราคาของแผ่นแอโรบิคอย่างที่ผมซื้อมา ก็ราวๆ 190 บาท แต่อยู่ราวๆ นี้ล่ะครับ เป็นราคาที่ไม่แพงเกินไป แต่ว่าสไตล์ใคร สไตล์มันครับ เลือกที่คุณชอบก็แล้วกัน

                                          คำเตือน: ก่อนการเต้นแอโิรบิคหรือกีฬาใดๆ ต้องวอร์มหรือยืดเส้นประมาณนี้เสมอไป ไม่ทำไม่ได้นะครับ ทำช้าๆ อย่ารีบ



       การเต้นแอโรบิคนั้น วันแรกๆ อย่าได้คิดเต้นตามครูฝึก จนจบแผ่นเด็ดขาดเพราะร่างกายคุณต้องฟิตมาก่อน ไม่งั้นมีเป็นลมแน่ๆ ระวังด้วยนะครับ วันแรกไม่ควรเต้น เกิน 5 นาทีนะครับ ทำไม น้อยจัง ลองเต้นก่อนดีกว่าไหม จำไว้นะครับ 5 นาที คนที่เล่นกีฬามาบ้างก็อย่าเิกิน 10 นาที ปล่อยให้ข้อต่างๆ กล้ามเนื้อ การหายใจที่ต้องปรับใหม่ ได้ปรับตัวสัก 2-3 วันครับ ค่อยๆ เพิ่ม จาก 5 เป็น 10 เพิ่มไปวันละ 5 นาทีครับ แต่คนที่เพิ่งเริ่ม 2-3 วันแรก ควร 5 นาทีไปก่อนครับ

       คุณค่อยๆเพิ่มเวลา ที่ละ 5 นาที ไปจนครบ 30 นาที สิ่งที่คุณได้คือ การเผาผลาญไขมัน ตามที่สอนๆ กันมา ได้สุขภาพที่ดี และความสดชื่นแจ่มใส ชีวิตที่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น สิ่งที่ต้องระวังคือ อย่าเต้นจนจบแผ่นนะครับ หยุดที่ 30-40 นาทีต่อวัันพอแล้วครับ จนเมื่อผ่านไปสัก 1-2 เดือน จึงค่อยๆ ไต่เวลาขึ้นไปเรื่อยๆ ตามความฟิต แต่ยังไงๆ ผมก็คิดว่าเต้น 40-50 นาที ต่อวัน ก็น่าจะพอครับ สัปดาห์ละ 3-4 วัน เท่านี้ ก็ฟิตไม่รู้จะฟิตอย่างไรแล้ว

       ลองคิดดูสิครับ ตื่นเช้ามา เข้าห้องน้ำ (ทำธุระใหญ่นั่นให้เสร็จก่อน) ล้างหน้า ล้างตา สวมชุดสบายๆ ใส่รองเท้ากีฬานุ่มๆ แล้วเอา DVD ใส่เครื่องเล่น เสียงเพลงจังหวะมันส์ เริ่มทำหน้าที่ของมัน เสียงกลอง เสียงเบส กำกับจังหวะทำให้เราคึกคัก ครูฝึกในจอ เต้นนำ เราเต้นตาม อากาศโล่งๆ ลมไหลเข้าออกคล่อง หายใจลึกๆ เต้นตามครูฝึก ออกกำลังกาย ง่ายๆ เป็นแอโรบิคที่สุด เพราะชื่อมันคือ แอโรบิค ทำไ้ดที่บ้าน สักวันละ 30-45 นาที ทำให้ 3-4 วันต่อสัปดาห์ ทำประจำ คุณจะสุขภาพดีเพียงใด


       เริ่มเสียแต่วันนี้ครับ คุณไม่มีข้ออ้างที่จะไม่ออกกำลังกาย อีกต่อไปแล้วนะครับ จริงไหม

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)

Sunday, April 7, 2013

เปิดตัวร้านหนังสือ เพาะกายและการดูแลสุขภาพ ทั้งชายหญิง แล้วนะครับ

สวัสดีครับ คนรักสุขภาพทุกท่าน

    จากการที่ได้ค้นคว้่า และ อ่านข้อมูลด้านการเพาะกาย ทั้งจากอินเตอร์เน็ต หนังสือ และ นิตยสาร เช่น Flex มาเป็นระยะที่นานพอควร ผมก็ได้นำข้อมูล มาสรุป บวกกับประสบการณ์ของผม เขียนออกมาเป็นบทความให้ แฟนบล็อก ได้อ่านกัน มาโดยตลอด

     อย่างไรก็ตาม ตัวผมคนเดียว ยังไงก็ไม่อาจสู้กับประสบการณ์จริง ของ นักเพาะกายที่ประสบความสำเร็จ กล้ามสวย  มีชื่อเสียงไปได้ ซึ่งคนเหล่านี้คือ คัมภีร์ชีวิต ที่เดินได้ มีตัวตนจริง มีวิธีการฝึก มีโปรแกรมการฝึกที่ได้รับการ ทดสอบมาโดยเฉพาะ ซึ่งที่สำคัญที่สุด คนเหล่านี้ มักจะมีงานเขียนพิมพ์ออกมาเผยแพร่ให้เราได้ซื้อหา มาอ่านและศึกษากัน

     ผมได้ลองค้นหาแหล่งที่มีหนังสือเพาะกาย (น้ำดี) อยู่นานก็ไปพบกับ ก็พบที่ที่ถูกใจ มีหนังสือเป็นร้อยเป็นพันเล่มเกี่ยวกับการเพาะกายให้อ่านกัน ไม่สิ้นสุด หลากหลายในแง่มุม ทำให้ท่านสามารถศึกษาได้อย่างต่อเนื่อง ลงลึกได้อย่างแท้จริง

     ในการนี้ผมจึงได้เปิดเป็นร้านหนังสือเพาะกายขึ้น เพื่อให้ เพื่อนๆ สมาชิก ได้ทดลองมาชมกัน ถ้าชมชอบเล่มไหน สามารถสั่งซื้อได้เลยครับ เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด ซึ่งศาสตร์การเพาะกายนั้น หากจะอ่านอย่างเจาะลึก หนังสือในภาษาไทย ถือว่าน้อย ถึงน้อยที่สุด ส่วนมากเน้นทาฝึก และไม่ลงลึก ส่วนนักเขียน ตามเว็บไซต์หรือบล็อก ก็ค้นหาข้อมูลจาก นิตยสารเป็นหลัก ดังนั้น ความรู้ในการเพาะกายอาจมีข้อจำกัด ผมตั้งใจไว้ว่า ร้านหนังสือแห่งนี้จะผ่านปราการ เรื่องข้อจำกัดนี้ไปได้เป็นอย่างดี

     อย่าลืมมาอุดหนุนร้านหนังสือกันนะครับ ขอบคุณมาก

   


     ท่านที่ไม่มีบัตรเครดิต หรือ บัญชี Paypal หากสนใจจริงๆ อยากซื้อหนังสือดีๆ เกี่ยวกับการเพาะกายแบบต้นฉบับเหล่านี้สักเล่ม อย่าได้ท้อใจ ผมอาสา จัดซื้อให้ครับ โดยเพียง โอนเงินตามมูลค่าและค่าขนส่งจริงมาให้ ผมจะเร่งดำเนินการให้ฟรี ทันที

     ท่านที่มีอุปสรรคเรื่องภาษาก็ไม่มีปัญหา เพียงแจ้งมาโดยโพสต์คอมเม้นต์ไว้ ว่าต้องการหนังสือแนวไหน อย่างไร ผมก็รับค้นหาให้ครับ

      ทุกท่านสามารถ อุดหนุนหนังสือเพาะกาย ที่ผมนำมาเปิดร้านได้ที่  (คลิกที่ชื่อร้านได้เลยครับ)

                         "ร้านหนังสือเพาะกาย โดยบล็อกเพาะกายสไตล์คุณบอลล์"

             Note: กรณีกดเข้าไปที่ร้าน บางครังไม่พบหนังสือแสดงอยู่ให้กด Refresh หน้าเว็บเพจครับ
                       แสดงว่าระบบต้องการนำเสนอหนังสือใหม่ๆ ที่คอลัมน์ด้านซ้ายครับผม

      ฝากร้านหนังสือของผมด้วยครับ

ขอบคุณมาก

คุณบอลล์ :0)

Saturday, April 6, 2013

จิตใจที่สดชื่น อาจเริ่มด้วยการหายใจให้ถูกต้อง

สวัสดีครับ

    มีผู้คนจำนวนมากในโลก ที่เคยชินกับการหายใจที่ผิด มาเริ่มกันเลยดีกว่า

  เวลาคุณหายใจเข้า  ท้องคุณป่อง หรือ แฟบ?

     คำตอบของคุณคืออะไรครับ ถ้าบอกว่า แฟบ นั่นคือการหายใจที่ผิดวิธี การหายใจเข้า มีศาสตร์ต่างๆ ที่ตอบรับตรงกันว่า ต้องท้องป่องนะครับ เช่นการนั่งสมาธิ เราจะกำหนดจิตให้ลมหายใจลงลึกไปใต้สะดือ แบบนี้ เป็นต้น

     ใครที่หายใจผิดให้เริ่มปรับไปที่ละนิดไม่ต้องรีบ ท่องเอาไว้ว่า


       "หายใจเข้า ท้องป่อง   หายใจออก ท้องแฟบ" ครับ

                           
         มีคนจำนวนมากอีกเหมือนกันที่ ออกกำลังกาย ก็แล้ว ทำควบคุมอาหารก็แล้ว ไปเที่ยวรับอากาศดีๆ ก็แล้ว ทำไมมันยังรู้สึกเหมือน หายใจไม่เต็มปอด เหมือนไม่สดชื่นแจ่มใส ที่เป็นแบบนั้น อาจมีผลมาจากการที่เรา หายใจผิดนั่นเอง ไม่ลองพิจารณาตัวคุณเองหรือครับ

      หากเป็นแบบที่กล่าวข้างต้น ให้เริ่มลองเปลี่ยนการหายใจครับ จะพบว่า เมื่อหายใจเข้าท้องป่องแล้ว ก็อย่าให้ป่องอย่างเดียว แต่ให้คิดว่าลมหายใจลงไปถึงบริเวณใต้สะดือด้วย จะทำให้คุณสดชื่น และเมื่ออากาศเข้าไปมากๆ ปอดก็สดชื่น ปราณในอากาศก็เข้าได้มากกว่าเดิม พาให้เลือดลมเดินดีคุณภาพชีวิตจะเปลี่ยนทันที มีความสุขขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

       การหายใจผิด ผมไม่กล้าไปฟันธงว่า จะทำให้เกิดโรค แต่กล้าฟันธงว่า ไม่ทำให้ร่างกายมีความสดชื่น ทีนี้เมื่อไม่สดชื่นมันก็เหี่ยวเฉา เหี่ยวเฉาบ่อยๆ น่าจะนำให้ปราณติดขัด ซึ่ง มันคือ ตัวกำเนิดโรคใช่หรือไม่ ซึ่ง การแพทย์จีน จะบอกเลยว่า ปราณติดขัด จะเกิดโรค จำได้ไหมครับ

                    บล็อก"คุณบอลล์"  ขอแนะนำหนังสือดีๆ คลิกที่นี่ *Breathing *      

เมื่อเริ่มเปลี่ยนการหายใจ ได้แล้ว ให้เราไปเดินสวน บ่อยๆ สุขภาพคุณจะดี คูณ 10 เลยล่ะ

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)

Friday, April 5, 2013

การประยุกต์สิ่งใกล้ตัว ช่วยเราใ้ห้ ควบคุมน้ำหนัก หรือ เพาะกายได้ยืนยาว

สวัสดีครับ คนรักสุขภาพทุกท่าน

   ก่อนอื่นขอถามก่อนเลยว่า ได้ไปเดินเ่ล่นผ่อนคลาย ตามสวน เช้าๆ หรือ เย็นๆ กันหรือยัง หากยังต้องลองนะครับ พลังชี่ ยิ่ง ตอนเช้าๆ นี่มากมหาศาลเหลือเกิน สูดหายใจเข้าลึกๆ หายใจเข้าท้องป่อง หายใจออกท้องแฟบ นะครับ ใครไม่มีเวลาลองหา ระเบียง หรือที่โล่ง สูดหายใจแล้วมองท้องฟ้า สัก 5-10 นาทียังดีกว่าไม่ได้ทำครับ

   วันนี้เอาข้อสังเกตุบางประการ ในฐานะที่ผมเป็น นักเพาะกาย ที่อ้วน และเล่นกล้าม ผมเลยได้เปรียบ ท่านผู้อ่านก็ได้เปรียบ เพราะว่า ผมมีประสบการณ์ทั้งการควบคุมน้ำหนักและ การเล่นกล้าม มาเล่าได้ทั้งสองเรื่อง อย่างคนที่ทำจริงๆ ครับ


  ข้อสังเกตุที่ว่าคือ คนอ้วนหรือแม้กระทั่งนักเพาะกาย มักจะทำลาย ตารางการรับประทานอาหารของท่านเองด้วยตัวเอง ที่เป็นแบบนี้เพราะไม่ได้วางแผน รองรับไว้ให้ดีพอ เช่นว่า

    ตอนเช้า เราต้องกินอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เราดันลืม ดูว่าอาหารมันหมดแล้ว พอถึงเวลา ในตู้เย็นมีขนมปังเหลืออยู่ เลยกินเต็มที่ เพราะทั้งหิว และ กลัวกล้ามเนื้อเสีย เนื่องจากขาดสารอาหาร

   ส่วนมากจะเป็นเช้าวันใหม่ครับ ที่เราพบว่า อ้าว ลืมซื้อ อาหาร สารอาหาร ผัก ผลไม้เตรียมไว้ เห็นอะไรก็ซัดเรียบ พอมีสักครั้ง คราวหลังก็จะมีอีก เมื่อเป็นดังนี้แล้ว ขอให้เตรียมอาหารสำรองไว้เสมอๆ




                    หรือเปลี่ยนจากไข่เค็มธรรมดามาทำส้มตำไข่เค็มก็ยังได้...ซู้ดน้ำลายไหลลล



    ผมจะมีอย่างน้อย ไขเค็ม หาซื้อตาม ร้านสะดวกซื้อก็ได้ เตรียมไว้ มันอยู่ได้นานมาก ไม่มีปัญหาก็ไม่ต้องกิน แต่เวลาลืม เรากินไขเค็มก็ได้ ทั้ง โปรตีน ไขมัน และแร่ธาตุจำเป็นครอบคลุมทีเดียว ในเรื่องแป้งผมว่า แทนที่จะไปกินขนมปัง เปลี่ยนมาเป็น พวก มาม่า ไวไว คัพ ใส่น้ำร้อนกินได้เลยจะดีกว่า เพราะได้กินของร้อนๆ อร่อย พอ 1 อิ่มกินกับไข่เค็มที่ว่า ก็ไ้ดมื้อที่พอกับ การเพาะกายเลยนะครับ หากมีพวกผักผลไม้เติมอีกหน่อย มันจะครบยิ่งขึ้น

   ของพวกนี้ใส่ไว้ในตู้เย็นได้ ยาวนาน พร้อมเป็น กองกำลังสำรอง ทางอาหารสุขภาพให้เราได้เป็นอย่างดี หรืออาจจะเป็นอะไรอื่นที่คุณเห็นว่าดีกว่า แ่ต่ใช้หลักการเดียวกันคือ มีอาหารสำรองติดตู้เย็นไว้เสมอ

   สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)

Thursday, April 4, 2013

ปรากฎการณ์แรงๆ เริ่มลงมือฝึก กล้ามเนื้อท่อนแขนส่วนบน (Bicep) กันดีกว่า ครับผม

สวัสดีครับ

    วันนี้เพิ่งเพิ่มบล็อกเพาะกาย สาขา 2 ขึ้นมาีอีก 1 เพื่อบรรจุท่าฝึกแบบครบชุดไว้ในที่เดียว ครับ
ลองไปอ่านกันได้เลย กำลังทยอยนำข้อมูล ท่าฝึก พร้อม คลิป และภาพ ลงบล็อกใหม่อยู่ครับ
ใครอยากฝึกเล่นกล้าม ยิ่งคนมาใหม่ๆ รีบไปอ่านกันเลย


                          การเริ่มต้น เพาะกายด้วยท่าฝึก ไบเซ็ป


    ตั้งใจสร้างเลยครับ เป็นกำลังใจให้ผมด้วย ขอบคุณครับ

คุณบอลล์ :0)

ยินดีกับบล็อกเล็กๆ ของผมหน่อย ตอนนี้อยู่หน้าที่ 3 google.com เว้ยเฮ้ย :0)

สวัสดีครับ

    หนังจากจะครบ 2 ปีในเดือนพฤษภาคม ศกนี้ อยู่มะรอมมะร่อ บล็อกเล็กๆ แห่งนี้ ก็ค่อยๆ กระตึ๊บ ขึ้นหน้า 3 ของ google.com แล้ว ด้วยคำค้นอะไร ขออุบไว้ก่อน เอาไว้ขึ้นหน้าแรกจะมาเฉลยกันครับ

    ต้องขอขอบคุณ พี่น้องทุกท่านทั้งที่ผ่านมาพบบล็อกของผม และที่แวะเวียนมาประจำ ผมขอนำกำลังใจนี้มาพัฒนาบล็อกของผมต่อไปครับ

   รายละเอียดบางประการ

             1.บล็อคแห่งนี้ ไม่เคยติดอันดับ 10 หน้าแรก google.com จากนั้นราวๆ 3 เดือนก็มาอยู่หน้าที่ 6
             2.มาถึงปีนี้ต้นปี ขึ้นมาหน้าที่ 4 แต่หลุดไปหน้า 8 เพราะเว้นจากการอัฟเดต
            3.กลับมาอัฟเดตประจำ จนวันนี้มาหน้าที่ 3 ครับ พร้อม บทความคุณภาพ กับยอดเข้าชม
                 57,594 ครั้ง หรือ ยอดคนเข้าชม ราวๆ 2500 คนต่อเดือน สำหรับบล็อกเล็กๆ ของผม
               ถือว่า ภูมิใจมากแล้วครับ :0)



 ขอบคุณมากครับ
คุณบอลล์ :0)

เล่าเรื่องการควบคุมน้ำหนักของกระผม :0) ตอนที่ 4. ลดแป้ง ได้ 2 เด้ง เตะปี๊บดัง โพล้ะ

สวัสดีครับ

     ระยะนี้ ผมควบคุมน้ำหนักได้ดี เพราะมีทิศทางที่แ่น่นอน วันไหน หิวอยากกินของอร่อย ก็ใช้ อาหารเปรี้ยวๆ ชดเชยได้ครับ หลายคนเคยอ่านบทความว่า ถั่วระงับหิวได้ ก็จริง แต่หากเป็นถั่ว ตามร้านสะดวกซื้อต้องระวังไขมันและแคลอรี ด้วย แต่ถุงละ 10 บาทก็ 200 กิโลแคลอรีแล้วครับ หากเราครบ 5 หมู่อยู่แล้วกินพวก โยเกิร์ตไร้ไขมัน น่าจะดีกว่า เพียง  80 กิโลแคลอรีเท่านั้น อิ่มพอกัน

    ผมได้มีโอกาสคุยกับเพื่อน ที่ทักว่า ระยะนี้ผมดู ผอมลงหน่อยๆ คุยเรื่องลดแป้งกันเขาบอกมว่า เขาก็ทำเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ทำเพราะลดความอ้วน เอาไม่อ้วนครับแต่อายุมากกว่าผมราวๆ 1 รอบ เขาบอกว่า เขาทำเพราะ บางอย่างมัน ฟื้นกลับมา ?

     ผมก็บอกว่า อะไรพี่ ที่ว่าฟื้นกลับมา เขาบอก พร้อมยิ้มมุมปากว่า ก็เรื่องอย่างว่า น่ะ เขาเล่าต่อว่า ตอนนี้ ผมกลับมาเกือบเท่าตอนหนุ่มๆ เลยนะ ผมก็งง มันเกี่ยวอะไรกันล่ะเนี่ย ลดแป้งแล้ว ปึ๋งปั๋ง งงสิครับ

     พี่เขาว่าต่อ เขาบอกว่า แป้งเข้าไปในตัวอย่างพวกข้าวนี่ พวกเรากินกันมาก แต่พออายุมาก มันก็ไม่จำเป็นขนาดนั้น คนอายุเยอะแบบเขากินข้าวมาก ก็อืด ช่วงนั้น ฮอร์โมนเริ่มลง ผมเริ่มหงอก ไอ้ที่เคยสู้ก็ถอยบ่อยๆ นานๆ ไปเขาก็ไม่ค่อยได้ใช้งาน วันหนึ่งไปออกกำลังกาย อยากลองเล่นเหวตดู เห็นว่าต้องคุมแป้งหน่อย เลยลองดู ลดไป 1 มื้อทำไปทำมา ไม่ได้เล่นเหวต แต่อาการท้องอืดๆ หาย เลยลดลงกินแป้ง หรือ ข้าว เพียง 1 มื้อ เขาบอกว่า มิคาด ใน 1-2 เดือน เจ้าน้องชาย มีอาการฟื้นตัว เขาตกใจมาก มาไงว่ะนี่ เขาบอก



     เราเลยนั่งคุยกัน ผมก็ลองรื้อฟื้นความรู้ทางโภชนาการอันน้อยนิด ลองเอามาอธิบาย ก็ได้ไอเดียร่วมกันว่า แป้งเข้าไปในร่างกาย มันจะเป็นน้ำตาล อืม กินมากไป ใช้ไม่หมด มันก็อยู่ในกระแสเลือดใช่ไหม ทีนี้ เจ้าน้ำตาลพวกนี้กับคนหนุ่มๆ มันก็แบบหนึ่ง แต่กับคนมีอายุ มันน่าจะอีกแบบหนึ่ง เพราะมันอาจไม่ได้ใช้ เหมือนก่อน มันอาจไปรบกวนกระบวนการ การสืบพันธุ์ เป็นไปได้ไหม? หรืออาการเบาหวานกลายๆ น่ะ เรารู้กันอยู่แล้วคนเป็นเบาหวาน จะมีปัญหาเรื่องพวกนี้ด้วย

     เราก็เลยเห็นตรงกันว่าน่าจะใช่ พี่เขากินข้าวมื้อเช้าปกติ มื้อกลางวัน กับ มื้อเย็น ไม่แตะข้าวสวยเลยครับ เมื่อมองในแง่โภชนาการแล้ว ข้าวจริงๆ ทั้งวันเรากิน มื้อเดียวพอครับ ในปริมาณที่พอเหมาะ ที่เหลือมันคือเรื่องของ ความเคยชิน นั่นเอง ประกอบกับ ในตอนนี้มีคุณหมอท่านหนึ่ง ผมจำชื่อท่านไม่ได้ ถึงกับบอกว่า ข้าวนี่ไม่ใช่อาหารของคนน่ะครับ ขนาดนั้นเลย ท่านเลิกกิ็น แล้วก็ไปหาแป้งจากแหล่งอื่นทดแทนแล้วก็ หายจากโรคมากมาย ที่ท่านเป็น  ใครจำชื่อท่านได้ช่วยมาโพสต์บอกกันหน่อย

     เมื่อมีข้อมูลประมาณนี้ผมก็คิดว่า เป็นไปได้ครับ ข้าว อาจจะมีคุณ เมื่อลดปริมาณการบริโภคในวัยที่เหมาะสมครับ

 สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)

เล่าเรื่องการควบคุมน้ำหนักของกระผม :0) ตอนที่ 3. เปรี้ยวๆ ช่วยได้สำหรับคนควบคุมน้ำหนัก

สวัสดีครับ

    สำหรับคนที่ควบคุมน้ำหนัก นั้น เมื่อควบคุมน้ำหนักได้ระยะหนึ่ง สิ่งที่เกิดตามมา คือ ความภูมิใจ เพราะ เราทำเอง ย่อมได้กับตัวเราเอง แต่อาการอย่างหนึ่งอาจตามมาคือ ความเบื่อในตัวอาหาร ที่บางคนกินซ้ำ จำเจจะเกิดขึ้น ตรงนี้แก้ไม่ยากครับ

    เราแก้อาการเบื่ออาหาร ง่ายๆ โดยการ ลองหาอาหารทีมี รสเปรี้ยวครับ จะช่วยได้ และช่วยได้ดีมาก สำหรับผม รสเปรี้ยว ใกล้เคียงกับรสหวาน และมันทำให้เราตื่นตัวขึ้น และยังทดแทนความหวานได้ด้วย
ปัญหาคือ ชีวิตคนเมืองจะมัวไป คั้นน้ำมะนาวอยู่ได้ไหม เราอาจไม่มีเวลา ให้ลองไปตามร้านขายน้ำครับ
บอกว่า เอาน้ำมะนาว ไม่ใส่น้ำเชื่อม อาจเป็นน้ำมะนาว โซดา ก็ยังได้  หรือ น้ำบ๊วย ในแบบเดียวกันก็ได้

     หากน้ำเปรี้ยวๆ ยังเอาไม่อยู่ ให้ตามด้วยผลไม้ ครับ ซื้อตามรถเข็นเอาก็ได้ครับ จากนั้น หากยังไม่อยู่อีก อย่าไปซื้อพวกมีแป้งมากินนะครับ ยังมีพวก หมูปิ้ง หมูย่าง อะไรทำนองนี้ ที่เป็นโปรตีนรออยู่  มาถึงตรงนี้ รับรอง อ้วนแค่ไหนก็เอาอยู่ครับ


    เมื่อเอาอยู่แล้วก็ให้ ค่อยๆ ลดเหลืออย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นมื้อนั้นกินน้ำมะนาวอย่างเดียวพอ หรือ หมูปิ้งพอ รวมกับอาหารอื่นๆ ที่เราควบคุมครับ คือจัดเต็มให้อยู่ได้ แต่พออยู่ได้ ต้องลดลง

    สำคัญที่สุดต้อง ครบ 5 หมู่ และน้ำต้องดื่มให้พอครับ นอนอย่าดึกครับ

    ออกกำลังกาย หากออกตามปกติ ให้ทานมื้อเช้าให้มากๆ อิ่มๆ มื้ออื่นจะยังคงได้ตามปกติ

วันนี้เท่านี้ก่อนครับ

สวัสดีครับ
คุณเสี่ย E:0)

Wednesday, April 3, 2013

เล่าเรื่องการควบคุมน้ำหนักของกระผม :0) ตอนที่ 2. สบายตอนไหนดี

 คำแนะนำควรอ่านตอนที่ 1 . ก่อนเพื่อความสมบูรณ์ของเนื้อหาครับผม

สวัสดีครับ

  บางทีคนที่กำลังดูแลน้ำหนักของตัวเอง อาจจะนึกถึงวันเก่าๆ ที่อยากกินอะไรก็ได้กิน ตามใจฉัน เป็นเรื่องธรรมดาครับ แต่ให้คิดแบบนี้

      *** ถึงวันนั้น ฉันจะกินตามใจได้บ้าง แต่วันนั้นๆ ฉันออกกำลังกาย อย่างจริงจัง

  แบบนี้รับรอง อ้วนยากครับ

  แต่ในตอนนี้อย่าเพิ่ง อยากกินตามใจเพราะว่า มันยังไม่ถึงเวลา คนอ้วนหลายๆ ท่าน ยังมี

       ทุนพร้อมอ้วน คือ ไขมันในตัวสูงอยู่ แตะมันนิดเดียว ได้ล้มเหลวกันแน่ๆ ครับ

 ดังนั้นแรกๆ 2-3 เดือนแรก อย่าเพิ่งกลับไปกินอะไรแรงๆ ให้ สัก 2 ครั้งใน 1 เดือน ที่อาจมีวันปล่อยตามใจปาก เป็นแรงใจไว้บ้าง แต่วันอื่น ต้องเคร่งครัด และให้นับช่วง 10 วันได้ให้มั่น อ่านดูในตอนที่ 1 ครับ

     ผ่าน 3 เดือนได้ น้ำหนักควรลง เพราะ น้ำหนักตัวเดิม มันคือสิ่งที่เราแบก และมันต้องใช้พลังงานในการแบก ขณะที่เรากินลดแคลอรี่ลง มันย่อมต้อง น้ำหนักลดลงเป็นธรรมดาอยู่แล้ว จริงไหม

    ขอให้ทำต่อไปครับ พรุ่งนี้มาว่ากันเรื่อง ผ่าน 2 เดือนแล้ว ทำอย่างไร กันต่อ

สวัสดีครับ

คุณบอลล์
 
 

Tuesday, April 2, 2013

เล่าเรื่องการควบคุมน้ำหนักของกระผม :0) ตอนที่ 1. นับ 10 สิพรรคพวก

สวัสดีครับ คนรักสุขภาพทุกท่าน

        จากที่ได้เขียนบทความในระยะนี้ ที่ว่า เราควรออกไปเดินสวน เราควรมีการเติมความสดชื่นให้ชีวิตเป็นระยะๆ ก็มาถึงการควบคุมน้ำหนัก จากฝั่งการกินกันบ้างครับ

       ตอนนี้ก็ใกล้จะ 2 เดือนแล้วที่ผมได้งด กินข้าวสวย ตอนมื้อเย็น ตอนนี้ทำจนเฉยๆ แล้วครับ จากคนที่กินเก่งมากกลายเป็นงดข้าวหรือแป้งตอนมื้อเย็นได้เด็ดขาด ผมก็เริ่มเกิดแนวคิดอะไรบางอย่างมาแบ่งปันกัน เผื่อช่วยให้เพื่อนๆ ลดกัน ได้สัก คนละ 5-10 กิโลกรัมกันถ้วนหน้า ก็คงจะเกิดอานิสงส์กับข้าน้อยมิใช่น้อยๆ

      แนวคิดคือ หากมีคนอ้วนมากๆ สัก 1 คน เขาจะเริ่มควบคุมน้ำหนัก ทำแบบไหนดี ผมแนะนำึครับลองแบบผมดูไหม แต่มีข้อแม้นิดเดียว ใครมีโรคประจำตัวอะไร ไปตรวจไปปรึกษาหมอก่อนจะทำนะครับ ท่านต้องรับผิดชอบต่อการลงมือทำด้วยตัวท่านเอง อันนี้เรียกว่า Disclaimer จ้า

      ผมเริ่มจาก จัดการอาหารพลังงาน เกินเหตุ ตอนเย็น โดยคำแนะนำ ของแฟนสาว ที่เธอเคยลดน้ำหนักมาก่อน ผมเชื่อเธอมาก เพราะเธอทำได้ เธอแนะนำให้ผม ดื่มนม ที่เป็นแบบ ไขมัน 0% ครับ ผมลองไปซื้อมาทานอยู่ราวๆ 3 สัปดาห์กินร่วมกับข้าวเย็น โดยการลดขนมของขบเคี้ยวไปได้หลายอย่าง

      ผมยังกินข้าวเย็นเหมือนเคย แต่สังเกตุว่า กางเกงเริ่มหลวม ผมถึงมาก เออ งดไขมันแต่ยังสามารถอิ่มท้องจากนมได้ เออ ทำไมเราคิดไม่ถึงนะ?

      ต่อมาผมเริ่มงดข้าวเย็น กินนมไร้ไขมัน กินแต่เนื้อหมู เนือไก่ แต่มีขนมปังบ้าง เริ่มดีขึ้น กลางคืนนอนหลับสบาย ผ่านไปสัก 2 สัปดาห์ ผมเลิกแป้งมื้อเย็นเด็ดขาด ทานแต่ เนื้อสัตว์ เช่นไส้กรอก ลูกชิ้น นมไร้ไขมัน และ เพิ่มโยเกิร์ต ไขมัน 0% เข้ามา เพื่อเป็นอะไรที่ สร้างความอร่อยให้บ้าง พลังงานของเขาเพียง
80 กิโลแคลอรี เท่านั้น

       ผ่านไปอีก 2 สัปดาห์ ผมเลิกนม หันมาทานโยเกิร์ต ไร้ไขมัน ด้วยเหตุที่เห็นว่า เริ่มอยู่ตัว ซื้อเนื้อสัตว์ เช่น ลูกชิ้น ไส้กรอก ทานตามปกติ แต่เพิ่มชาเขียว

       จุดนี้ผมได้อะไร    ได้ชาเขียวมาช่วยเผาผลาญไขมัน หากกิน เช้าเย็น สูตรไม่มีน้ำตาลจะดีมาก ชาเขียวช่วยได้จริงๆ ครับ ต้องไร้น้ำตาลนะครับ

       ทำมาถึงระดับนี้ได้ในมื้อเย็น สำหรับคนอ้วนใหญ่ืถือว่า คุณมาถูกทางแล้ว หิวก็กินน้ำ ครับ ค่ำๆ น่ะ
อาจจะหยุดบ้างบางวัน ให้กินไปเลยตามปกติ ที่อยากกิน แต่คุณจะเห็นว่า มันกินไม่ได้มากเหมือนก่อน
เน้นชาเขียวมาคั่นไว้ทุกมื้อ คือมีน้ำลงไปจองเนื้อที่ ก็มันอิ่มเราก็ได้คิด เออ อย่ากินต่อเลย แบบนี้

      จนมาถึงวันนี้ กางเกง หลวมโครกเลยครับ แต่ยังไม่พอ ให้ลองคิดดังนี้  

 สมมติว่า เราต้องใช้พลังงานราวๆ 3500 -4500 กิโลแคลอรี ต่อวัน สำหรับคนอ้วน แต่เราลด อาหารมาถึงจุดที่ว่าไปล่าสุดนี่ ให้คุณตีออกมาว่าลดไปเท่าใด กี่กิโลแคลอรีต่อวัน

    ให้นึกดังนี้ เรากินมื้อเย็นเล็กลงขนาดนี้ ให้สมมุติว่า ลดไปวันละ 250 กิโลแคลอรี ผมว่าน่าจะได้นะครับ
ผ่านไป 10 วันก็เท่ากับคุณลดพลังงานไปได้ 250*10 = 2500 กิโลแคลอรี หากผมจำไม่ผิด มันคือ น้ำหนักจะลดไป ราวๆ 2.5 กิโลกรัม แบบชิลๆ ใน 10วัน ใช่หรือไม่? คือ คุณหัดมานาน ด้วยวิธีลดและปรับอาหาร แบบนี้ ทำให้คุณไม่รู้สึกโหยอะไรมากนัก เหมือนการลดลงทีเดียว ทำให้คุณมีโอกาสทำได้ติดต่อกันยาวนาน

     เมื่อมาถึงจุดนี้ ให้นึกต่อไปว่า ไหนๆ มื้อเย็นก็อยู่ตัวแล้ว ก็ทำแบบนี้ไปเรื่อย จาก 10 วัน ก็นับต่ออีก 10วัน พอนับอีกรอบ ก็ครบ 1 เดือนพอดี เรานับ 3 ครั้ง ก็ 2.5 กิโลกรัม * 3 = น้ำหนักในทาง ทฤษฎีนี่น่าจะลดลงได้ คือ  7.5 กิโลกรัม ลดได้จริง ก็มีเฮ ก็เดือนต่อๆ ไป ก็ทำซ้ำ เท่านั้นเอง

     ในทางปฏิบัติ ผมว่า เอาแค่ เดือนละ 5 กิโลกรัมนี่ ก็น่าจะเร็วเกินไปแล้วนะครับ ค่อยๆ ลดดีกว่าครับ
เอาเป้าแค่ 5 กิโลกรัมพอแล้ว บางเดือนได้ 4 บ้าง 3 บ้างช่างมันครับ ให้มีลดลงกว่าเดิม ทุกเดือนก็แล้วกัน

     หากลองคิดแบบประมาณการเฉลี่ยแบบดิบๆ ว่าทำไปทำมาทั้งปี หารออกมาได้ว่า ลดได้เดือนละ 3.5 กิโลกรัม แปลว่า ใน 1 ปี หรือ 12 เดือน จะลดลงได้ = 3.5 * 12 = 42 กิโลกรัม

     สำหรับคน ที่หนัก ราวๆ 100-130 กิโลกรัม คุณลดน้ำหนักตัวได้ มีต่ำกว่า 90 กิโลกรัมแน่นอน จริงไหม
แต่เอาให้เข้ากับโลกความจริงนะครับ ผู้ชายโครงสร้างใหญ่ๆ ผมว่า ลดมากไปก็ไม่ดี ครับ ลงมาแล้วก็ลองคำนวณน้ำหนักกับส่วนสูงให้มี สมดุลก็แล้วกัน คุณน่ะรู้จักตัวคุณดีที่สุดครับ

    ตอนนี้ผมไม่คิดอะไรมาก นับ 10 วันไปเรื่อย ผมไม่นับเดือนนะครับ และไม่ชั่งน้ำหนักด้วย ลดแบบนี้มันเป็นวิทยาศาสตร์ ยังไงก็ลง ผมเชือมั่นครับ ไว้ลงต่ำกว่า 90 กิโลกรัมตอนไหน ผมจะเอารูป Before กับ After มาให้ดูกันครับ
 
   พอได้ราวๆ 80-85 ผมอาจเริ่มเล่นเหวตแบบเอาจริงเลยครับ :0) ตอนนี้เล่นแบบพยุงๆ ไปก่อน

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)