Tuesday, December 10, 2013

คำเตือนสุขภาพ แปรงฟันแล้วทำอะไร แน่ใจว่า โอเค? ....บ้วนปากแบบลวกๆ ไม่น่าจะดีจริงไหม?

สวัสดีครับ

    อยู่ๆ ก็เกิดคิดขึ้นมาเองครับว่า การแปรงฟัน จากนั้น บ้วนปาก หากมันบ้วนแบบลวกๆ รีบๆ ตามแนวทางการดำเนินชีวิตของคนเมืองนี้ มันจะดีหรือ?

    ลองนึกถึงเช้านี้ครับ คุณแปรงฟันกันเสร็จแล้ว คุณบ้วนปากกันกี่ครั้ง? วิธีการบ้วนปาก ของคนสมัยนี้ มีกันแบบไหน มาลองนั่งคิดกัน

    1.ใส่แก้วหรือขัน แปรงแล้วบ้วนๆ จนเสร็จก็บ้วนหลายทีหน่อย
    2. แบบเร็วๆ ก็ รองน้ำใส่มือ อมๆ แล้วบ้วน ทำหลายๆ ที
    3. เอาแบบง่ายจริงๆ เปิดฝักบัว แล้วบ้วนกับน้ำผักบัว

    หรือ อาจจะมีวิธีพิศดารอื่นใด ผมไม่ทราบ ประเด็นคือ จะบ้วนปาก หลังแปรงฟันเสร็จแบบไหนก็ตาม คุณควรบ้วนให้สะอาดหมดจดจริงไหม เพราะ

     หากบ้วนไม่สะอาด ล้างคราบยาสีฟันไม่หมด เช้าที่กินข้าวเข้าไป ยาสีฟันตกค้างมันก็ปนกับอาหารที่เรากิน และ กลืนลงท้องเราไป
    
      คุณว่าเป็นไปได้ไหม?

     เอาล่ะ ตอนเด็กเห็นเผลอกลืนลงไปไม่เห็นเป็นไร แต่ ระยะเวลาล่ะครับ กับสารเคมีที่ไม่ใช่ิิอาหารตามธรรมชาติ แล้วเราก็ กลืนลงท้องมาเป็นคนละ สิบ ยี่สิบปี คุณว่า มันต้องเตือนให้ระวังกันไหม ?

     ความคิดโดยสรุป สำหรับเรื่องนี้ มีข้อเดียวครับ  แก้ไขเสียให้เรียบร้อย 

                        ทุกครั้งที่แปรงฟัน  จงบ้วนปากให้สะอาดครับ
   ไม่อาจจะบอกได้ว่า แบบไหน คือ สะอาด เอาเป็นว่า พ่นน้ำทิ้งออกมา ไม่ควรมีสีขาวขุ่นค้างอยู่ อย่างน้อย พ่นจนสีขาวขุ่นจากยาสีฟัน เปลี่ยนมาเป็น สีใสๆ ของน้ำ น่าจะโอเคนะครับ หรือจะแถมไปอีกหน่อยเพื่อความชัวร์ ก็ไม่น่ามีปัญหาครับ


  ฝากไว้ให้ฉุกคิด

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0) 

Thursday, December 5, 2013

อะไรที่เด็ดพอๆ กับการแกว่่งแขน วิถีที่มีมาหลายพันปี เราสิ มองข้ามไป

สวัสดีครับ

    คนอายุตั้งแต่วัยรุ่นมา ถ้าเขา นั่งสมาธิ บ้าง จะนาน จะไม่นาน แต่ ทุกสัปดาห์มีการนั่งสมาธิ หากเขาทำแบบนี้ มาตั้งแต่ 12 ขวบจริงๆ จะกีขวบก็ได้ ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ พอมาถึงอายุราวๆ 25 ปี น่าจะจบ ป.ตรี แล้ว ลองคิดดูว่า เขานั่งสมาธิมากี่ปี  ตอบ ก็ราวๆ 13 ปี คำถามแรก

    คุณคิดว่า คนที่นั่งสมาธิต่อเนื่อง มา 13 ปี จะไม่มี ดอกผลอะไรให้กับ ชีวิต จิตใจ ร่างกาย สุขภาพ ของเราเลยหรือ  ผมเชื่อว่า ทุกคนตอบตรงกัน

    มันต้องได้อะไรสักอย่าง ...เป็นแม่นมั่น

    จากหลักการที่ผม เคยเขียนไว้นานแล้วว่า  ในโลกนี้ หรือที่ใดๆ

   "ไม่มีสิ่งใดที่ทำแล้วเสียเปล่า ไม่มีกรรมใดไม่ส่งผล"

   น่าจะยังจำกันได้นะครับ


    ดังนั้น มันต้องส่งผลในด้านดี อย่างน้อย 1 ด้าน จริงไหม

  แล้วถ้า เรามาเริ่ม นั่งสมาธิ กันจากวันนี้ล่ะครับ อีก 2 ปี 3 ปี 5ปี หรืออีก 10 ปี ข้างหน้า มันจะส่งผลอะไรให้เราไหม ตอบ มีแน่ครับ อย่างน้อย 1 อย่าง และต้องเป็นเรื่องดี

  เพราะการ ปฎิบัติบูชา เป็น อย่างการเจริญสมถภาวนา อันมี การนั่งสมาธิอยู่ในนั้นด้วย เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญ จริงไหม ดังนั้น มันเป็นการก่อกุศลธรรม เมื่อทำต่อเนื่องไปนานๆ มันต้องมีแต่เรื่องดีเกิดกับเราครับ นี่เป็น ตรรกศาสตร์ง่ายๆ

   บังเอิญ ผมเคยอ่านหนังสือ โยคะครับ บังเิอิญมาก ที่ท่านั่งสมาธิ แบบ ชั้นเดียว 2 ชั้น อะไรผมไม่ทราบ แต่ท่านั่งขัดสมาธ นี่ล่ะ เป็นหนึ่งในท่า โยคะ ครับ ขอให้ทราบไว้ด้วย และท่านี้ เขารักษา แทบจะเรียกว่าครอบจักรวาล ให้ผล หลายอวัยวะ แต่ที่ผมบอกว่า ครอบจักรวาล เพราะ ผมประยุกต์หลักคิดของ แพทย์จีนเข้ามา นั่นเพราะ ทางโยคะ บอกว่า อวัยวะภายในจะได้รับการบำบัดรักษาจากท่า นั่งขัดสมาธ หรือท่าดอกบัว นี้ หลายส่วน แทบครอบคลุม และทางแพทย์จีนเขาว่า อวัยวะภายในทั้ง 5 จะสัมพันธ์กัน ตัวหนึ่งพร่อง จะชวนให้อีก 4 ตัวเสียสมดุลไปด้วย

    เมื่อเป็นดังนี้แล้ว เราก็นำแนวคิดมาประสานกัน ก็ได้ว่า

  นั่งสมาธิ---->ถือเป็นการปฏิบัติโยคะท่า ดอกบัว----->ทางกายอวัยวะภายในกลับคืนแข็งแรง กระชุ่มกระชวย----->สอดคล้องหลัก 5 อวัยวะภายในของจีน----->ร่างกายจึงแข็งแรง สมบูรณ์อายุยืนยาว----> พัฒนาสู่การเติบโตทางจิตวิญญาณ ปฏิบัติสมาธิ ตลอดเวลา---->เจริญพร้อมทั้งกายและใจ


...สาธุ

  บุญกุศลอันก่อเกิด จากการให้ประกายความคิดแก่มหาชนในครั้งนี้และตลอดมา ขอจงส่งผลให้ คุณพ่อ คุณแม่ มีความสุข ความเจริญ มีความสดชื่น แจ่มใส แข็งแรง ตลอดไป อายุยืนยาว เป็นร่มโพธิ์ ร่มไทรของลูกหลาน นานแสนนาน :0)



 ลองนำไปปฏิบัติครับ พี่น้อง ชาว เพาะกายแบบ แมนๆ สไตล์ คุณบอลล์ :0)

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)

Saturday, November 30, 2013

ข้อคิดดีๆ จาก การแพทย์จีน กับ คนรักสุขภาพ เน้นคนยุคเน็ตมีทุกที่

สวัสดีครับ

    สำหรับคนที่อายุยังน้อย อาจจะอ่านเคล็ดวิชานี้แล้ว หัวเราะว่า การแพทย์จีนนี่ เว่อร์ไปไหม ลองอ่านเคล็ดวิชานี้ดูกันก่อนครับ


                                   เคล็ดวิชาจากวงการ การแพทย์จีน

      เพ่งดูนานๆ ทำลายเลือด

    การนอนนานๆ ทำลายพลัง

   นั่งนาน ทำลายกล้ามเนื้อ

   ยืนนาน ทำลายกระดูก

   เดินนาน ทำลายเส้นเอ็น


ที่มา: นิตยสารทางสุขภาพ&การแพทย์ฉบับหนึ่งของไทย น่าจะเกิน 10 ปี แล้วโดยประมาณ
          ผมต้องขออภัยจำชื่อนิตยสารไม่ได้ครับ ขอมอบเครดิตให้ผู้เขียนด้วยครับ ขอให้ผลบุญ
          ในวิทยาทานนี้ส่งผลไปสู่ท่านครับ 

    เมื่อลองพิจารณาดูแล้ว มันคือวิถีชีวิตของคนสมัยนี้ใช่ไหม  มี นานๆ อยู่  5 ตัวและพฤติกรรมเหล่านี้มันทำลายสุขภาพของพวกเราคนในยุคสมัยใหม่ และ ยุคอินเตอร์เน็ต อย่างแท้จริง ลองอ่านแล้วจงปรับพฤติกรรม ของท่าน แ้จ้งใ้ห้คนที่ท่านรักทราบด้วยครับ เพื่อสุขภาพที่ดี และมีความสุขครับ 

สวัสดีครับ
คุณ บอลล์
:0)
          

Monday, November 25, 2013

การหายใจ กับการเพาะกาย ที่เราอาจมองข้าม

สวัสดีครับ

    การหายใจ ในการออกกำลังแบบเพาะกายเป็นเรื่องสำคัญ เพราะว่า ทำิผิดแบบแผนมีสิทธิอันตรายได้อย่างนึกไม่ถึง ครับ ก็หาอ่านได้จากที่ผมเขียนไว้นานแล้ว ไม่่่ว่าจะเป็นการหายใจ การยกน้ำหนักต่างๆ ก็ตาม

    แต่สิ่งที่เรามักลืมคือ การหายใจเมื่อไม่ได้ฝึกครับ ซึ่งโดยความจริงแล้ว เราอยู่กับตรงนี้มากกว่าการฝึกอีกนะครับ หากเราฝึก 1 ชั่วโมง อีก 23 ชม. เราต้องหายใจให้ถูกนะครับ หายใจแบบใดถูกต้อง

    การแพทย์ จีนและตะวันตก รวมทั้งแบบแผนอื่นๆ กล่าวไว้ตรงกันว่า

   "หายใจเข้า ท้องป่อง หายใจออก ท้องแฟ่บ"

  เชื่อไหม หลายคนเพิ่งอ่านเจอวันนี้ ก็จงเปลี่ยนเสียนะครับ

    การหายใจถูกวิธี จะทำให้ได้ ทั้งสมาธิ และ พลังปราณ รับเต็มที่ครับ ณ. ตอนนี้ บางคน อาจจะเริ่มหายใจแบบที่่ว่า จะเห็นว่า ไม่ง่ายนะครับ กับคนที่เพิ่งเริ่ม และ ควรหายใจช้า มากกว่าเร็ว เพราะการหายใจเร็วเกินไป ก็เกิดโทษอีก เอาหายใจกลางๆ ดีที่สุด

     บางคนทั้งวัน ไม่ได้สังเกตุ ตัวเองเพราะพลังสติน้อยอยู่ ก็ได้ฉุกคิดตอนนี้และ พบว่า หายใจแค่ครึ่งเดียวมาหลายปี ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจ ที่กล้ามไม่ขึ้น หรือ ทำไมรู้สึก สีหน้า ผิวหน้าไม่แจ่มใสนะครับ หากจะให้มันตรงกันข้าม ก็เริ่มเสียแต่วันนี้

   หายใจเข้าไม่เร็ว ไม่ช้า เกินไป และหายใจออกก็เช่นกัน ลองทำกันดูึครับ

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)

Friday, November 22, 2013

ความคืบหน้ากับการทดลอง การออกกำลังกาย แบบ Suit-Workout สัปดาห์นี้ ตอนที่ 1.

สวัสดีครับ

        วันนี้ก็มาเขียนเล่าประสบการณ์ การออกกำลังกายแบบ เบาๆ ครับ พบว่า สนุก ไม่เหนื่อยมาก และยังแข็งแรงขึ้น ตอนนี้ สิ่งที่ทำอยู่ ก็

       1.แกว่งแขนแบบ ตำรับจีน เพื่อบริหารเลือดลม และ ลมปราณ ตามอย่าง ท่าน โพธิธรรม ตามที่ต้นฉบับทางจีนเขาระบุไว้ ได้  400 ครั้งเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะครับ โดยค่อยๆ ทำมาจาก 100 แล้วค่อยๆ ทำขึ้นมาเรื่อยๆ

       2.ยกน้ำหนัก อีก 2 ครั้ง ก็จะครบ 3 เซ็ท เซ็ทละ 12 เร็ป ตามแบบแผน คือเล่นแบบจัดเต็ม
          ในไม่เกิน 1 เดือนผมก็สามารถกลับไปเล่นกล้าม ทุกส่วนกล้ามเนื้อได้ครบแ้ล้ว

     ก็พบว่า การออกกำลังกายแบบ Suit-Workout นั้น ทำให้เราอยู่ในกระแส และทำให้เรา เข้าสู่กระแสหลักได้จริงๆ คือการออกกำลังกายแบบจัดเต็มครับผม


        มาดูกันต่อว่า สัปดาห์ต่อไปจะมีความคืบหน้าอะไรกันบ้างครับผม

สวัสดีครับ
ปล. หากไม่มีติดงานอะไร จะรายงานผลการฝึกการทุกวันศุกร์ครับ

Saturday, November 16, 2013

การประยุกต์ หลักการ Suit-Workout หรือ เบาๆ แต่ยังอยู่ในกระแส กับการ รับประทานอาหาร สำหรับคนรักสุขภาพ

 Suit-Work :0)

     "ด้วยเรือลำน้อย ฉันได้ล่องออกจากแม่น้ำ สู่ผืนทะเลใหญ่...
                            ...เพื่อโดยสารเรือเดินสมุทร และ มุ่งสู่มหาทวีป"

นี่คือปรัญชา ของ Suit-Workout ครับ

สวัสดีครับ

    ก่อนจะพาเข้าเรื่อง การประยุกต์ ดังที่โปรยหัวเรื่องไว้ ขอนำผู้่อ่าน ทบทวนเรื่อง การเพาะกาย และ การทำแอโรบิค ดังที่เคยเขียนไว้นานแล้วว่า ไอเดีย ที่เคยให้ไว้ตามหลัก การออกกำลังกาย ของ นักเพาะกาย ที่ตรงกันในนิตยสารระดับโลก หลายเล่มก็คือ ให้ เพาะกายก่อน จากนั้น พัก สักหน่อย แล้ว ค่อยออกกำลังกายด้วย แอโรบิคกันต่อไปครับ สำหรับท่านที่มีข้อสงสัย คงได้คำตอบแล้ว แต่ว่า รายละเอียดล่ะ

    สำหรับผม ผมจะเพาะกายก่อนเสมอครับ จากนั้น พักนิด ก็จะจิบชาเขียว ฝั่งว่า กาแฟ ก็แล้วแต่ แต่ผมจะพักไม่เกิน 15 นาทีครับ จากนั้นก็ออกกำลังกายโดยแอโรบิคกันต่อไป ก็เลือกเอาครับ เดิน วิ่ง หรือ อะไรอื่นๆ  เมื่อเสร็จหมดแล้ว ผมจะระวังช่วง นาทีทอง คือ 30 นาทีแรก หลังเสร็จกระบวนการการออกกำลังกาย อย่าพลาด บริโภคโปรตีน เด็ดขาดนะครับ ฝรั่งว่า ช่วงนี้ล่ะ มีส่วนตัดสินเรื่อง กล้ามไม่กล้าม ครับ

     เอ้ามาเข้าเรื่อง Suit-Workout กันต่อ ผมมีความเชื่อมากขึ้นเรื่อยๆ ครับ ว่า วิธีที่ผม ลองนำเสนอนี้ มีสิทธิ สร้างให้คนหันมาออกกำลังกาย กันเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ตัวผมเอง ยังมีโอกาสได้หยุดไปพักใหญ่จน ที่บ้านแซวว่า เขียนบล็อกให้เขาอ่านได้ คนดูรวม แสน ครั้ง อยู่มะรอมมะร่อ แต่ดันหยุดออกกำลังกายได้ไง  วันนั้นมา ผม สะอึกครับ เออ จริงว่ะ แบบนี้ ตรูก็เป็นได้แค่ นักเพาะกาย ใบลานเปล่าน่ะสิ

    สำนวนว่า เป็น ....ใบลานเปล่านี่ .. มีมาแต่สมัยพุทธกาลครับ เรื่องมีอยู่ว่า

   ...มีพระรูปหนึ่ง ท่านเป็นปราชญ์เลยครับ รู้แจ้งในข้อธรรมที่พระพุทธเจ้า ได้ตรัสไว้ อย่างลึกซึ้ง ขนาดที่ว่า พระรูปใดมีศึกษากับท่านนั้น บรรลุธรรมขั้นสูงกันเป็นทิวแถว อรหันต์ กันเลยว่างั้น แต่ท่านเอง กลับไม่ปฏิบัติครับ ลูกศิษย์ ก็เจริญในธรรม สูงกว่า ท่านไปเป็นจำนวนมาก...จน มีคนมาบอกท่านว่า เมื่อเป็นฉะนี้ท่านก็ไม่ต่างอะไร กับใบลานเปล่า ครับ... หากจำไม่ผิดน่าจะเป็น องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ล่ะครับที่ทรงตรัส.. หากผิดพลาดประการใด ขออภัยด้วยครับ

    เครดิต: เล่าเรื่องโดย คุณพ่อ ของกระผมเอง

      เหมือนกันครับ พอสะอึกได้ที่แล้ว ก็ได้คิด หากเราปล่อยตัวไปเรื่อยๆ ไม่แคล้ว จะอายเขา ดังนั้น ต้องออกกำลังกายตลอดชีวิตครับ เขียนสิ่งดีๆ แล้ว ก็ต้องทำด้วยครับ

      ผมเลยค่อยๆ กลับมา และได้ค้นพบแนวทาง การออกกำลังกายแบบสมตัว ขึ้นมา หรือ Suit-Workout นั่นเอง และที่ผมเชื่อมั่นในวิธีนี้ก็คือ นี่ เป็นครั้งแรก ที่จุดแล้วติด คือผมออกกำลังกายต่อเนื่องมาร่วม 1 เดือนแล้ว โดยมั่นใจตัวเองว่า ทำต่อเนื่องได้แน่ เพราะมันไม่หนักไปครับ ถือโอกาสทดสอบทฤษฎีไปในตัว โดยเอาตัวเรานี่ล่ะทดสอบ แล้วค่อยๆ มาเล่า ไปทีละสเต็ป เท่ไม่หยอก

      วันนี้ ผมก็ แกว่งแขนได้ 350 ครั้งแล้ว ยกเหวตอันนี้ ไต่มา เกือบเดือน ตอนนี้ ก็จัดว่า เกือบเข้ารูปแบบน้ำหนัก เต็มรอบ คือ 5 kg. รวม 3 เ้ซ็ท เซ็ทละ 10 ครั้ง และจะไปถึง 12 ครั้ง ถือว่าเต็มรอบ จากนั้นก็กระจายไปทุกกลุ่มกล้ามเนื้อครับ  นี่ล่ะข้อพิสูจน์ คือ เริ่มจากเบา ในที่สุด มันก็พามาเต็มรอบ จนได้ จากนั้นค่อย แปลงจากสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เป็น 3 ครั้ง ไปที่ โปรแกรม ฝึก 3 พัก 1 กัน ในที่สุด แล้วค่อยๆ ไต่น้ำหนัก ไปถึงจุด ที่ผมเล่นเต็มรอบเมื่อก่อน ไม่น่าเชื่อ ผมไม่ต้องสร้างแรงจูงใจอะไรเลย แค่ คิดง่ายๆ ตรูข้าต้องไม่หลุด ออกจากกระแสการเพาะกาย เพราะมันเสียดายของครับ แล้วก็ทำได้ในที่สุด

     ดังนั้น ตัวผมในฐานะที่มีพื่นฐานเพาะกายมาก่อน ก็กลับสู่โปรแกรมจัดเต็มได้ในเวลาเพียง 1 เดือนเท่านั้นครับ ถามว่า พี่ๆ หากต่อไปพี่ไม่มีเวลาล่ะ ทำไง

             ตอบ ก็จัด Suit-Workout ให้ตัวเองสิน้อง มียาดีแบบนี้ ไม่ต้องกลัวหลุดกระแสครับ

    ต่อไปก็เป็นการเดินทางของการแกว่งแขน ที่จะไต่ไปให้ถึง 2000 ครั้งให้ได้ครับ จากการคำนวณเล่นๆ ของผม น่าจะใช้เวลาราวๆ 30-40 นาทีครับ และนี่คือ แอโรบิคแน่นอน ครับ

      ความสะดวกของผมคือ ห้องของผม อยู่ตึกสูง อากาศดีมาก ก็ทำใกล้เฉลียง อาจเปิดพัดลมช่วย ไม่แนะนำแอร์ เพราะผมมองว่า มันผิดธรรมชาติครับ เพราะเปิดแอร์ ต้องปิดห้องใช่ไหม พัดลมดีกว่าครับ อย่างไรก็ตาม จะแกว่งแขน จะเพาะกาย ต้อง ทำตามหลักวิชา ลองไปหาอ่านเอาครับ ในบล็อกนี้มีค่อนข้างครอบคลุม ในการดูแลเรื่องนี้ แต่แกว่งแขน ขอให้ลองหาอ่านกันครับ

              เบาๆ ช้าๆ ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป  + ใส่ใจ คือ หลักของ  Suit-Workout จ้า

     ต่อมา เรื่องการบริโภคอาหาร โดยประยุกต์ แนวทาง Suit-Workout มาใช้ น่าจะไปทิศทางไหน
เรามองเรื่องการควบคุมอาหารกันก่อน

1. ตามแนวทางที่ทำกัน ต้องงดนั่น งดนี่ ระวังนั่น ระวังนี่

1ก. ตามแนวทาง Suit-Workout เราไม่ต้องงดนั่น นี่ ระวัง นั่นนี่ เพราะว่า
     จะเริ่มอะไรก็เครียดแล้ว ระวังแจเลย มันน่าเบื่อครับ เราใช้วิธี ถามตัวเองว่า
-เราสมัครใจทำไหม ในการควบคุมอาหาร?
ตอบ สมัครใจ หรือ ไม่สมัครใจ

**ถ้าไม่สมัครใจ อย่าเพิ่งทำครับ หยุดตรงนี้เลย เพราะไม่ควรฝืนทำอะไร
*ตอบว่า สมัครใจ ก็ไปต่อครับ

2.ต้องงดอะไรบ้าง เท่าไร ห้ามนั่นนี่
2ก. ตามแนวทาง Suit-Workout เราอยากลดอะไรล่ะ ก็ทำอันนั้นล่ะ ไม่ต้องมาก "ทีละน้อย" "ช้าๆ"
จะลดเร็วไปทำไม เดี๋ยว โยโย่ เอฟเฟ็กต์ กินกันกระจายอีกจนได้  ช้าๆ ไว้ เย็นไว้โยม สาธุ
-คุณจะทำอย่างเคร่งครัดไหม?
**ถ้าตอบว่า เคร่งครัด อย่าเพิ่งทำครับ เพราะผิดหลักการ ครับ รอจนกว่า จะเพลาๆลง
*ตอบว่า ไม่เคร่งครัด ให้รีบทำต่อไป แปลว่า คุณเข้าใจในหลักการ

 สรุปตรงนี้ข้อ 2ก. จุดนี้ คือจุดที่สำคัญ การจะทำอะไร เราต้องเข้าใจว่าทำไมจึงทำ และ ไม่ต้องเคร่งเครียด เพื่อความสำเร็จ เอาเพียงแค่ ใส่ใจ พอครับ มีคนเคยถามเราไหม คุณต้องหายใจไหม?
เราอาจบอกว่า ไอ้นี่ บ้า ไม่หายใจ ก็ Death สิครับ แต่ ทำไมเราหายใจ นั่นเพราะ จิตใจ จิตใต้สำนึกรู้ว่า
หากไม่หายใจ กรูก็อยู่ไม่ได้
    เช่นกันครับ หากเราไม่ดูแลตัวเองตอนนี้ เลย แม่แต่น้อย ก็เท่ากับ เราจะสุขภาพแย่มากๆ ในอนาคตจริงไหม ดังนั้นจงทำเพราะเห็นว่า สำคัญมาก ไม่ใ่ช่ทำเพือ ให้คนยอมรับ ดูว่าเรา หล่อ สวย หรือเพราะใครจะมาคาดหวัง ทำเพราะมันดีกับตัวเราครับ

3.ทำอย่างไร
   หลักการง่ายๆ ก็คือ ลองลด งด เลิก สิ่งที่บริโภค ไปทีละนิด ทำตามใจฉัน แต่มีเงื่อนไขว่า ต้องทำตลอดชีวิต มีการตั้งด่านมาเล่นสนุกกับมันว่า ลดถึงระดับนี้ เราจะไม่กลับไปเหมือนเดิมอีก เช่น

   ปกติ
-เช้า กาแฟเย็นแก้วใหญ่ ข้าวกับ 2 อย่าง ข้าวเยอะๆ
 
ใช้หลัก Suit-Workout จะกลายเป็น

เริ่มแรก
-เช้า เลิกซื้อกาแฟแก้วใหญ่ เปลี่ยนมาแก้วเล็ก เน้นน้ำแข็งมากกว่าน้ำกาแฟ (ซึ่งโคตรหวาน) ข้าวก็ตามปกติ บอกแม่่ค้า ข้าวครึ่งเดียว

ขั้นสอง
- เช้า หันมาชงกาแฟเอง แต่เป็นกาแฟใส่น้ำตาลน้อยๆ เลิกซื้อ ข้าวเหมือนข้อแรก

ขั้นสาม
-เช้า กาแฟไม่ใส่น้ำตาล ข้าวกับข้าว 1 อย่าง พร้อมผักสด ที่เราเตรียมมาเอง อีก 1 กำมือ

ขั้นสี่

-งดกาแฟ ข้าวกับ 1-2 อย่าง ข้าวไม่มาก พร้อมผักสด บวกผลไม้


   อะไรประมาณนี้ คือ ค่อยๆ ทำไป แบบท้าทายตัวเองนั่นเองครับ และจาก 1 มื้อ มันจะลามไปเป็น 2 มื้อ จนครบ 3 มื้อ แต่สำหรับคนที่ออกกำลังกาย อย่างนักเพาะกายแบบนี้ ต้องระวังครับ ต้องดูวิธีการกินของนักเพาะกายที่ถูกต้องด้วย คือ กระจาย ประมาณ 5-6 มื่อ และครบ 5 หมู่ด้วย ไม่ว่าคุณจะกินแบบใด ที่สำคัญน้ำอย่าให้ขาดนะครับ

   พบกันใหม่กับแนวทาง Suit-Workout

สวัสดีครับ
คุณบอลล์  :0)
ปล. นี่เป็นหลักการที่ผมเชื่อว่า ผมจะทำได้จริงๆ ครับ มั่นใจมาก

Thursday, November 14, 2013

แนวคิด เลือดลมไหลเวียนดี แบบจีน ออกกำลังกายไม่ยาก และสุขภาพดี ด้วยการ แกว่งแขน

สวัสดีครับ

   เคยสังเกตุกันไหม เช้าๆ จะมีช่วงเวลาที่ เหมือน ร่างกายเรา สดใส อยู่ราวๆ 2-3 ชั่วโมง และพอผ่านไป อาการตามปกติ ที่เรารู้สึกทั้งวันก็จะกลับมา และ พอบ่ายคล้อย เข้าสู่เวลาเย็น พวกเราไม่น่าจะสดใสเท่าตอนเช้า อย่างที่ว่า


     แต่


    วันที่เราออกกำลังกาย บางคนวันนั้นเลย หรือ บางคนอีกสักพัก หลังออกกำลังกายมาหลายครั้ง จะมีอาการว่า ต่อให้ตกเย็น ก็ไม่เปลี้ย ไม่เพลียมาก  แปลกไหมครับ?


    อย่างวันนี้ ผมออกกำลังกายใช้ได้เลย ตามปกติ มันต้อง หิวแล้ว ราวๆ ใกล้ 5 โมงเย็นแบบนี้แต่ผมยังเฉยๆ ทำไม? จริงๆ แล้ว ตามความคิดของพวกเรา มันต้องเป็นแบบนี้ใช่ไหม

    ออกกำลังกาย-->ผลาญแคลอรี่มาก-->ย่อมต้องหิวมาก-->หากกินไม่พอ-->ก็จะอ่อนเปลี้ยเพลียแรง

  แต่ มันกลับกลายเป็นว่า


   ออกกำลังกาย-->ผลาญแคลอรี่มาก-->อาการหิวมากไม่ปรากฎ-->กลับมากินน้อยลง -->แต่สดชื่นขึ้น


   สิ่งนี้มันเกิดเพราะอะไร แน่ล่ะ การแพทย์ตะวันตกมีอธิบายเรื่องเหล่านี้ครับ ลองหาอ่านกัน

   แต่ผมขอจับหลัก การแพทย์จีน ที่เคยอ่านมา มาอธิบาย ครับ

    ผมเคยอ่านพบว่า การที่ร่างกายเกิดความเจ็บป่วย นั่นเพราะ เลือดและลมปราณ ของเรา ไหลเวียนไม่สะดวก และหากมันไปอุดตันที่ไหน ก็จะเกิดโรค อาการเจ็บปวดขึ้นที่นั่น การแพทย์จีน จึงเน้นให้เลือดลมเดินดี จึงเป็นที่มาของ การมี วิชาฝังเข็ม จากที่ผมเคยอ่านมา พบว่า วิธีที่ทำให้ปราณเลิกสะดุด มีอย่างน้อย 2 วิธี คือ

      1.ฝังเข็ม
      2. ความร้อน

   ทีนี้ พวกเรากี่คนล่ะครับ ที่จะมีโอกาสไปฝังเข็มจริงๆ ซึ่งผมพบว่าน้อยมากๆ ส่วนมาก ก็จบที่ร้านขายยา
หาหมอ ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดนะครับ เพราะนี่เรากำลังพูดถึงการแำพทย์ ทางเลือกกันอยู่ ด้วยความบังเิอิญหรืออะไรก็ตาม ผมเคยเขียนเกี่ยวกับ การแกว่งแขนเอาไว้ ใช่ไหม ผมก็เลยได้นำสิ่งที่รู้ มาเชื่อมกัน

    การแกว่งแขน ที่มาบางสายแจ้งว่า เป็นการบริหารของท่าน โพธิธรรม หรือ ปรมาจารย์ ตั๊กม้อ ช่วยให้เกิดการไหลเวียนของปราณ ทำให้ร่างกายแข่งแรง ผมจึงขอนับเอา การแกว่งแขนเข้าไปเป็นแบบแผนที่ 3. ครับ อันทำให้ปราณ เดินไม่สะดุด จึงเป็นดังนี้

     1.ฝังเข็ม
     2.ความร้อน
     3.การแกว่งแขน หรือ การออกกำลังกายทั้งแอโรบิค และ อะนาโรบิค

    เมื่อพิจารณาแล้วจะพบว่า การขยับ ก็เท่ากับออกกำลังกาย นั่นเอง ตามรัฐบาลท่านว่า

   และวันนี้ผมก็แกว่งแขนจริงๆ ครับ อาจพิสูจน์ได้จริงๆ นะครับว่า เวลาราวๆ 5-10 นาที ที่ผมลองแกว่งแขนในเบื้องต้นนั้น ที 300 ครั้ง ได้ผลในระดับที่โอเคเลยครับ คำถามคือ หากเราค่อยๆ เพิ่มจำนวนครั้งของการแกว่งแขน ออกไป จนถึงราวๆ 1500-2000 ครั้ง ตามตำราที่แนะนำกัน สุขภาพเราน่าจะดีขึ้นทันตาหรือไม่ ก็ต้องทดลองกันต่อไป

     แต่ที่แน่ๆ แคลอรี่ ได้เผาผลาญกันบานเบอะแน่ครับ เรื่องเลือดลม ปราณไหลเวียนนี่ ไม่ต้องกังวล คนที่แกว่งแขนจะรู้เองว่า มันดีแค่ไหน

  ทีนี้ การแกว่งแขนนี่ เมื่อมันทำให้เลือดลมเดินดี เซลล์เม็ดเลือดล่ะ มันจะสามารถนำอากาศไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆ ได้ดีขึ้นใช่หรือไม่ จึงเกิดสิ่งที่เรียกว่า

           ออกกำัลงกาย --> ได้คุณภาพในการลำเลียงอาหาร ของเลือดลม

   เรื่องปราณ ไม่ได้พูดนะครับ เพราะยังหาตัววัดไม่ได้ แต่เรื่องเลือดน่าจะเป็นตามนั้น

 มันจึงทำให้ แทนที่จะโหย จะอยาก กลายเป็น อิ่มเร็ว คือ กินเท่าเดิม แต่อิ่มเหมือนกินมาก ขณะที่
แคลอรี่เผาผลาญ กว่าเดิม มันก็ต้อง น้ำหนักลด จริงไหมครับ

อืม..ฝากไว้ให้อ่านกันครับ และขอฝากว่า การแกว่งแขน น่ะ ดีจริงๆ ครับ ตอนนี้ผมตั้งเวลาในการประเมินตนเองไว้ ราวๆ ปลายเดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ.2557 ครับ คือ 3 เดือนกว่า ๆ มาดูกันว่าผลจะเป็นอย่างไร โดยการ ออกกำลังกายแบบ Suit-Workout ที่ผมเขียนไว้คราวก่อน คือ ทำแบบสมตัว ไม่มาก ไม่แรง ไม่เยอะ แต่อาศัยการอยู่ในกระแส ทำน้อย แต่ทำทุกสัปดาห์ ครับ ดังนี้

      1.แกว่งแขน เป้า 1,500-2,000 ครั้ง ทำไปเรื่อยๆ ช้าๆ เพิ่มขึ้นทีละช้าๆ ครับ เช่น  200 - 300 -350 -400 ไปเรื่อยๆ ใช้เวลาเป็นเดือนๆ ไปเลย จนถึง 1,500-2,000 ครั้ง นะครับ ไม่ใช่เอากันทีแรก 2,000 ครั้ง กันเลย อย่านะครับ อย่าทำ นี่คือคำเตือน
 
    2.การเล่นกล้าม น่ำหนักน้อย จำนวนครั้งน้อย  แต่เล่นประจำทุกสัปดาห์

  หมายเหตุ: คุณก็สามารถออกแบบ Suit-Workout ของคุณได้ โดยเล่นกีฬาที่คุณชอบ แต่เน้น เล่นน้อยๆ เล่นเรื่อยๆ อยู่ในกระแส ไม่เลิก ทำต่อเนื่องครับผม

สวัสดีครับ
คุณ บอลล์ :0)

Thursday, November 7, 2013

การออกกำลังกายแนวคิดใหม่ "การออกกำลังกายแบบสมตัว" หรือ Suit-Workout โดย คุณบอลล์ ~ ความแตกต่างที่ละม้ายคล้ายคลึง อย่างไร?

สวัสดีครับ

    วันนี้ผมก็ได้ลงมือฝึก เล่นกล้ามแบบเบาๆ ด้วยตัวเอง มาได้วันที่ 3 แล้วและพบว่า มันดีกว่าไม่ทำจริงๆ ครับ เนื่องจากตัวผมต้องทำงานด้าน คอมพิวเตอร์ซึ่งมีเรื่องต้องทำมาก กลับมาก็ทำงานส่วนตัวผ่านคอมฯอีก ทำให้สุขภาพสายตา ไม่ค่อยดี และมึนหัวบ่อยๆ ทำให้ต้องใช้เวลาฟื้นใ้หสดชื่น ทีหนึ่งก็หลายวัน ทีนี้ อายุเราก็มากขึ้น มันไม่ใช่ฟื้นเร็วเหมือนสมัยหนุ่มๆ นะครับ

     เมื่อฟื้นตัวกันหลายวัน ก็มีเหตุให้ต้องหยุดเพาะกายสไตล์เต็มสูบกันไป แต่พอเริ่มมาทำแบบ เบาๆ ที่เขียนให้ผู้อ่านได้อ่านกัน ปรากฎว่า อาการต่างๆ หายหมด ฟื้นตัวเร็ว สดชื่นและแข็งแรงขึ้นมากๆ จะเรียกว่ากะปรี้กะเปร่า เหมือนตอนเล่นกล้ามแบบเต็มสูบกันเลย ที่สำคัญปวดกล้ามเนื้อน้อยกว่ากัน หลายเท่า

   แม้ว่าจะหวังเรื่อง กล้ามขึ้นเร็วไม่ได้ แต่ได้กำลังวังชาครับ ผมถือว่า นี่เป็นจุดลงตัว ของการออกกำลังกายแบบ อะนาโรบิค กับ แอโรบิค ครับ หากจะเรียกวิธีนี้ เป็นภาษาอังกฤษ สไตล์ ที่ผมสร้างขึ้นมานี้ว่า


               "Suitable for Yourself Workout" ก็น่าจะได้ หรือ เปลี่ยนชื่อเรียกจาก เล่นกล้ามแบบ เบาๆ มาเป็น

       "วิธีการออกกำลังกายแบบ(เหมาะ)สมตัว" นั่นเองครับ

โดยขอตั้งชื่ออย่างเป็นทางการว่า    Suitable for Yourself Workout เรียกย่อๆ ว่า

"Suit -Workout"

โดยเรียกแบบไทยว่า วิธีการออกกำลังกายแบบ(เหมาะ)สมตัว ย่อเป็น

  "การออกกำลังกายแบบสมตัว"


(ตั้งขึ้นเมื่อ วันที่ 8 พฤษจิกายน พ.ศ.2556 เวลาเที่ยงวัน โดย คุณบอลล์)

 โดยมีแนวคิดมาจาก

      1.เราไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายเพื่อตอบสนองต่อมาตรฐานใดๆ แต่ทำเพื่อตัวเอง ทำแล้วมีความ
        สุข
   
     2.เมื่อไม่ต้องตอบสนองมาตรฐานใด ทั้ง แอโรบิคและ อะนาโรบิค เราจึงออกกำลังกายได้แบบไม่มี
         ความกดดัน ว่าทำผิด ทำไม่ถึง

     3.ทำให้เราทำเท่าที่ทำได้ ออกกำลังกายได้เท่าที่ทำได้ และไม่หลุดออกไปจากกระแสการออกกำลัง
        เพราะเราทำเท่าที่ทำได้

     4.เมื่อถึงวันเวลาที่เหมาะสมกับเรา เราอาจเลื่อนระดับความเข้มข้นการออกกำลังกายให้มากขึ้น ตาม
       ความแข็งแรง ที่เราได้สั่งสม ทั้งนี้เพื่อความสุข และ ความมีสุขภาพดีทั้งกายและใจ  เป็นสำคัญ

     5.เราเป็นผู้เลือกในท้ายที่สุด ว่าเราจะออกกำลังกายมากเพียงใด แค่ไหน ตามใจของเรา โดยมี
       วิทยาศาสตร์การแพทย์ และ การกีฬา เป็นแหล่งข้อมูลในการศึกษา


    จากแนวคิด 5 ข้อ จะทำให้ คนที่ ไม่มีเวลา ไม่ชอบกฎเกณฑ์ ไม่ชอบให้ใครคาดหวัง และอีกหลายๆ ไม่ชอบมีแนวคิด ที่ดีต่อการออกกำลังกายมากขึ้น เพิ่มจำนวนคนเข้ามาออกกำลังกายมากขึ้น

    ท่านเชื่อไหม? หากยังไม่เชื่อ ลองตามผมมา

   -คุณเชื่อไหมมีคนที่ชอบทำอะไรสบายๆ ไม่ชอบกฎเกณฑ์ ที่ไม่ออกกำลังกายเพราะระเบียบ วิธี เยอะมาก ยิ่งการเล่นกล้ามนี่ หายใจ การยก น้ำหนัก ตารางฝึก และอื่นๆ มันเยอะเกินสำหรับเขา

  -บางคนไม่ชอบแต่งตัว ไปออกกำลังกาย

 -บางคนไม่ชอบให้ใครมาพูดว่า ผอมยังๆ เห็นออกกำลังกายนานแล้ว กินมากไปไหม เลยไม่ออกมันเลย

 -บางคนคิดว่ามันเป็นภาระ

และมีอีกหลายความคิด แต่....

  "การออกกำลังกายแบบสมตัว" ที่ผมสร้างขึ้นมานี้ ไม่ใช่แค่ เล่นกล้ามนะครับ แน่ล่ะที่ผมทำตอนนี้คือ
การเล่นกล้าม แบบ เบาๆ แต่ผมจะลองนำตัวเองเข้าไปทดลองเองเลยครับ โดยผมคิดว่า มันควรออกมาเป็นแบบ อาหารแนวฟิวชั่น คือ มีการนำอาหารจากต่างถิ่นมาผสม สร้างแนวอาหารใหม่ครับ

     ของผมก็เลยคิดว่า เราน่าจะเดิม อะไรเข้าไปสักหน่อย เพราะเมื่อผมออกกำลังกายโดยการเล่นกล้ามแบบเบาๆ นั้น สุขภาพของผมดีขึ้นมากๆ และทำมาไม่กี่วัน (ผมเป็นคนมีพื้นฐานเล่นกล้ามหนักมาก่อน)
กล้ามเนื้อมันตอบรับเร็วมากๆ และดูกระฉับกระเฉงมากๆ ผมเลยคิดว่า ร่างกายที่ป้อแป้ กลับมาแล้วการออกแบบเบาๆ ที่ดีนี้ น่าจะดีมากขึ้น หากเราเพิ่ม เรื่องของ แอโรบิคเข้ามา ผมก็คิดว่า อะไรดี คิดอยู่นานก็หัวเราะดังลั่น ก็เคยเขียนไว้ในทุกท่านได้อ่านมาพักหนึ่งแล้ว   การแกว่งแขนนั่นเอง

     ผมเลยนำการแกว่งแขน มาร่วมด้วย โดยทำดังนี้

   1.การเล่นกล้ามแบบเบาๆ นั้น เน้นว่า เล่นสัปดาห์ละไม่เกิน 2 ครั้ง เน้นคงกล้ามเนื้อ ไม่ใช่สร้างกล้ามเนื้อใหญ่ๆ เน้นการบ่มเพาะทักษะ ไม่ใช่เล่นเพื่อหวังเป็นชายงาม เล่นเพื่อยังคงอยู่ในกระแส ไม่ใช่เพื่อเป็นกระแส เป็นต้น อย่างไรก็ตาม นี่ละ อะนาโรบิค  ลองตามอ่านบทความก่อนๆ นะครับ ผมเขียนไว้แน่นๆ 2 บทความ

  2.การแกว่งแขน ใช้เนื้อที่ เพียง 1 ตารางเมตร ยังได้เลยสำหรับคนตัวเล็กๆ ทำในห้องได้ แต่เปิดให้ลมพัดสะดวก ลองหาวิธีทำตามเว็บที่เขาอธิบายละเอียดครับ ไม่ต้องอะไรมาก ยืนแล้วแกว่งแขน ใครๆ ก็ทำได้ คนพิเศษ ขออภัย จากท่านั่งก็ประยุกต์ทำได้ครับ แต่จะทำทั้งที่ ต้องมี ขำๆ มีด่านให้ผ่านกันหน่อย

     ผมลองออกแบบดังนี้

       2 สัปดาห์แรก   แกว่งแขนตามวิธีที่ถูกต้อง ไม่เกิน 100 ครั้งในวันแรก จากนั้นค่อยๆ เพิ่ม ทีละ 50 ครั้งจนได้สามารถทำได้ 300 ที ต่อการแกว่งแขน 1 ครั้ง เป็นคุณที่ต้องออกแบบ ทั้งจำนวนวัน และครั้ง จนทำได้ 300 ทีในช่วงสุดท้ายของสัปดาห์ที่ 2

      ประมาณ 1 เดือน ควรจะไต่ขึ้น จาก 300 ไปเป็น 500 ครั้งให้ได้ ในสัปดาห์สุดท้าย

      อีก 1 เดือน ไต่จาก 500 ไปเป็น 750 ครั้ง

      อีก 1 เดือน จาก 750 ครั้ง ไปเป็น 1000 ครั้ง

      จากนั้นให้ไต่เพิ่ม เดือนละ 250 ครั้ง ไปจนครบ 2,000 ครั้ง

มันต้องมีด่านให้ผ่านครับ มันจะสนุก และพบว่า สิ่งที่ผมแนะนำ มันทำได้ เว้นช่วงให้สร้างกล้ามเนื้อ รองรับการพัฒนาระบบภายใน ของร่างกายได้จริงๆ ไม่ใช่มาแนะนำว่า
 
   ...มา มา แกว่งแขนให้ได้ 2,000 หายโรคร้าย ผมว่าเรามาค่อยๆ ไต่ดีกว่าครับ ของแบบนี้ทำได้แล้วมัน
ได้เลย นะครับ จะรีบทำไม  อย่าเร่ง เพราะหากรีบเร่ง ก็ไม่ใช่ การออกกำลังกายแบบสมตัว จริงไหม?

   สำหรับผมจะออกกำลังกายโดยนำการเพาะกายแบบ เบาๆ และ การแกว่งแขน มาออกกำลังกายร่วมกัน โดยมีวิธีการออกกำลังกายดังนี้

      1.เล่นกล้ามแบบเบาๆ สัปดาห์ละ 2 วัน (ติดตามอ่านได้จาก บทความ 2 บทความที่ผมอธิบายลงลึก)
      2.ช่วงวันที่เว้น ไม่เล่นกล้าม ผมก็จะแกว่งแขวน โดยมีเป้าหมายเป็น ด่าน ที่อธิบายไว้ก่อนหน้า
      3.ต้องมีวันพัก  2 วัน คือไม่ทั้งเล่นกล้าม และไม่ทั้งแกว่่งแขน นี่คือทางสายกลางครับ

   เท่านี้ครับ แต่ขอเตือนว่า ต้อง ยืดเส้น วอร์มร่างกาย ทั้งก่อนและหลังการออกกำลังกายเสมอ ตลอดจน ต้องทำทุกอย่าง อย่าง ทางสายกลางครับผม


   พบกับแนวคิด ที่ละเอียดมากขึ้น ของ Suit-Workout กันในบทความต่อไป สวัสดีครับ

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)



Sunday, November 3, 2013

เล่นกล้ามแบบ เบาๆ แนวทางการเล่น เริ่มอย่างไรดี (ควรอ่านบทความที่แล้วก่อนนะครับ)

สวัสดีครับ

    สำหรับคนที่อ่านบทความที่ผ่านมาบทความก่อนหน้านี้ คงจะเห็นแนวทางการเล่นกล้ามแบบ เบาๆ แล้วนะครับว่า การเล่นกล้ามแบบเบาๆ นั้น

    -ทำให้เราคงกระแส ในการเล่นกล้ามไว้ได้
    -ลดข้ออ้างเรื่องไม่มีเวลา จริงๆ แล้ว อ้างไม่ได้เลย
    -ความเหนื่อยอ่อน แทบไม่มี แต่กลับได้กล้ามเนื้อชุดใหม่
      แม้ต้องใช้เวลายาวนานกว่าก็ตาม


    จาก 3 ข้อย่อๆ จะพบว่า ทำแล้วดี กว่าไม่ทำ การเล่นกล้ามแบบ เบาๆ จึงมองข้ามไปไม่ได้
แนวคิดของผม มาจาก ปรัชญาความคิดส่วนตัว ที่ตกผลึกมาจาก การมีชีวิตมากว่า 41 ปีว่า

     "คนเรานั้น ไม่ต้องรอให้เป็นอะไรบางอย่างเสียก่อน จึงจะเริ่มทำอะไรบางอย่าง"
     "We, no need to be something for doing something."

                                                                                                   โดย คุณบอลล์
                                                                                                    บล็อก เพาะกายสไตล์แมนๆ ฯ

หมายเหตุ: ผมหมายถึงการใช้ปรัชญาข้อข้างต้น กับเรื่อง ดีๆ เท่านั้นนะครับ ไม่ทำให้เรา คนอื่น และ สังคมเดือดร้อน อีกด้วย ใครเอาไปใช้ เลวทราม คือ สันดานของคุณเองนะครับ บอกไว้ก่อน


    ซึ่งปรัชญาดังกล่าว พบว่า เราตั้งแต่เกิดจนโตนั้น ถูกนำให้คิดจนเป็นนิสัยว่า หากจะทำอะไร เราต้องไปให้ถึงสถานภาพบางอย่างเสียก่อน แม้จะไม่ใช่ทั้งหมด แต่มีอยู่หลายส่วน ที่สอนกันแบบนี้ จึงทำให้คนเราที่มีชีวิต มีปัญหารอบด้าน แก้ไม่หมด เลยไม่มีเวลามาขบประเด็นนี้

    ผมมีชีวิตผ่านมา 41 ปีแล้ว ผ่านอะไรมามาก และตัวเองก็ใช่ว่าจะสำเร็จอะไรนัก แต่ครองตัวค่อนข้างอยู่ในเกณฑเฉลี่ย ทำให้ผมพบว่า ตัวเรานั้นก็เป็นคนดี คนหนึ่งในสังคม ไม่โดดเด่น แต่ไม่ได้พาสังคมไปหาสิ่งที่ผิด ก็พอจะมีบทความแบบนี้ มาแบ่งปันกันอ่านครับ

     ประเด็นต่อข้อปรัชญาข้างต้นก็คือ การเล่นกล้าม จึง...

     ไม่ต้องมีเวลามาก ไม่ต้องพร้อมไปเสียทุกเรื่อง ไม่ต้องตามแนวทางปฏิบัติเป๊ะ
เราก็

     สามารถเล่นกล้ามได้

มันเป็นแบบนี้

    การเล่นกล้ามแบบ เบาๆ จึงสามารถกระทำได้ครับ

   แนวทางการเล่น ที่ผมลองทดลองด้วยตัวเอง ก็คือ

  1.เล่นกล้ามเนื้อ ทีละ กลุ่ม
  2. เล่นให้ครบครอบคลุมทั้งตัว
  3.เริ่มจากจำนวนน้อย ไป หามาก
  4.ไม่ได้ทำหวังผล แต่ทำ หวังความยั่งยืน
  5.เชื่อ และ ศรัทธาว่า ทำ ดีกว่าไม่ทำ


     รายละเอียด

ข้อ 1. เล่นกล้ามเนื้อ ทีละกลุ่ม


     ผมเล่นโดยเริ่มจาก กล้ามเนื้อ ไบเซ็ป เป็นกลุ่มแรก น้ำหนัก เพียง 3 กิโลกรัม ดัมเบลล์ ของผมสามารถปรับน้ำหนัก ได้ถึง 11 กิโลกรัม แต่ผม เริ่มจากน้ัอยๆ โดยวันแรกเล่นดังนี้

      1.เล่นซ้าย และ ขวา ข้างละ 3 เซ็ท โดย เล่นเซ็ท ละ เพียง 6 ครั้ง
         หมายเหตุ: ต้องยืดเส้นก่อนนะครับ วอร์มด้วย ก่อนเล่น โดย ยกสัก 1-2 ครั้ง ช้าๆ
      2.ตอนยก ต้องหายใจ ถูกต้อง และ ยกช้า เอาแบบเนียนๆ
      3.พักระหว่างเซ็ท นับ 1-10 ครับ นับตามวินาทีเลย
      4.เล่นเสร็จ ให้ยืดเส้น คูลดาวน์ ตามปกติ
   
     จากนั้นก็ไปใช้ชีวิตตามปกติ ครับ ข้อสังเกตุ:
   -ถ้่าคุณจะมีการออกกำลังกายแนวแอโรบิค เพิ่ม ให้เว้นระยะสัก 15 นาที หรือ หายเหนื่อย จากการเล่นกล้ามมแบบเบาๆ ก่อน จากนั้น ดื่มชาเขียว หรือ น้ำ ให้สดชื่น  แล้วค่อยทำพวกแอโรบิค เช่น เดิน วิ่ง หรหรือ ปั่นจักรยาน เป็นต้น ทำต่อไป อย่าให้เกิน 30-35 นาที พอแล้วครับ

   - ถ้าเล่นกล้ามแบบเบาๆ แล้ว หยุดเลย ก็ ใน 30 นาที เป็นช่วงนาทีทอง ให้ดื่ม นม หรือ ทานอาหารพวกโปรตีน จาก พืช หรือ สัตว์ ได้ทั้งนั้น

   จะพบว่า ขั้นตอนแทบไม่ต่างจากการเล่นกล้าม แบบเต็มๆ เลยนะครับ

 ประเด็นสำคัญคือ ให้เล่นกล้ามเวียนไปเรื่อย จากไบเซ็ป ไปหลังแขน ไหล่ หลัง ลำตัวหน้า-ข้าง ขา-สะโพก เป็นต้น เล่นให้ครบ แต่ว่า กลุ่มแรกๆ ที่เล่น ให้เล่น ยาวไปก่อน เพื่อเตรียมร่างกาย ตามธรรมชาติ
นั่นคือ การเล่น ไบเซ็ป คือ การยกดัมเบลล์ ตามปกติน่ะครับ ทำไปเลย สัก 2 สัปดาห์ ครับ โดยมีแนวทางดังนี้

      1.ยกท่าไบเซ็ปต์ ต่างๆ 1-2 ท่า สัก 2 สัปดาห์
      2.ท่าไตรเซ็ปต์  1 สัปดาห์
      3.ไหล่  1 สัปดาห์
      4.หลัง  1 สัปดาห์
      5.ลำตัวด้่านหน้า  1 สัปดาห์
      6.ลำตัวด้านข้าง  1 สัปดาห์
      7.ขา   1 สัปดาห์

  ทำไม ข้อ 1. จึง 2 สัปดาห์ นั่นเพราะ เป็นท่าตามธรรมชาติของคนเราครับ ที่ต้องมี การยก ยึด ผลักดัน ที่เกี่ยวกับ ไบเซ็ปต์เป็นส่วนมาก ถือว่า สอดคล้องตามธรรมชาติ แต่เป็นการเตือนให้เขารู้ว่า เราจะเริ่มใช้กล้ามเนื้อมากแล้วนะ ทีนี้ ลองบอกผมสิครับ ว่า ไม่ว่าจะใช้กล้ามเนื้อส่วนไหน ก็ตามจะมีกล้ามเนื้อส่วนหนึ่ง เข้ามาแจมเสมอ ส่วนนั้นคือ ส่วนไหนครับ คำตอบ

      ส่วน กล้ามท้องและหลัง ครับ การทำไบเซ็ปต์ ง่ายๆ และยังเป็นการเทรนด์ ท้องกับหลัง ให้แข็งแรงตามเรามาด้วยนั่นเอง เพื่อพร้อมรับ การฝึกในทุกส่วนในภายหลัง มันเป็นแบบนี้


       ในทุกส่วน ให้ออกกำลัง โดยใช้สูตร
- 3 เซ็ท เซ็ทละ 6 ครั้ง ในสัปดาห์แรก และจากนั้น ให้เป็น เซ็ทละ 10 ครั้ง จนครั้งที่ 3 ให้เป็น 12 ครั้ง พอแล้วครับ จำไว้ว่า ช้าๆ หายใจให้ถูกต้อง คือ ออกแรงหายใจออก ผ่อนแรงหายใจเข้า ครับผม

- ข้อยกเว้นสำหรับ กล้ามส่วนขา ก็จัดไปตามที่คิดว่าเหมาะสมครับ เพราะเป็นกล้ามที่ชุดใหญ่ใช้      พลังงานมาก ก็ปรับจำนวนในเซ็ท ตามความเหมาะสมครับ สอบถามมาได้ถ้าสงสัยครับ

- ให้ทำสัปดาห์ ละ 2 วันเท่านั้น อ่านในบทความก่อนครับ ไม่งั้นก็ไม่ใช่ เล่นกล้ามแบบ เบาๆ ใช่ไหม

- พออยู่ตัวแล้ว ให้ทำหมุนเวียนไปเรื่อยครับ

  อ้อ เกือบลืมเรื่องสำคัญ สำหรับน้ำหนัก นั้น พอเล่นไป สัก ทุก 2-3 เดือน เห็นว่า เริ่มยกแล้วมันเบาๆ ก็เพิ่มได้ครับ แต่ทีละน้อยๆ เช่น 3 กิโลกรัม เป็น 5 กิโลกรัม หรือน้อยกว่านั้น แต่อยากให้รอว่า ทุก 3 เดือนน่าจะดีกว่า เพื่อให้กล้ามเนื้อปรับตัวทันครับ การเล่นแบบนี้ผมคิดว่า สัก 8 กิโลกรัมหรือใกล้เคียง แล้วอั้นไว้ ก็น่าจะพอแล้ว 10 กิโลกรัมนี่ หากจะเล่น ผมแนะนำว่า เข้าโปรแกรมฝึกแบบเต็มๆ เลยดีกว่า เช่นโปรแกรม ฝึก แบบ 3 พัก 1 ครับ คือน้ำหนักขนาดนี้แล้ว สร้างกล้ามสบายๆ เลย จัดเต็มดีกว่าครับ :0)

    การคลายเส้น, การหายใจ, การกินอาหาร และ การฝึกแบบ 3 พัก 1 ผมเขียนไว้หมดแล้วลองย้อนอ่านกันนะครับ ครบถ้วนสมบูรณ์ครับผม
     พอดีเคยทำ รวมดัชนีท่าฝึกไว้ แต่ยังไม่ได้ทำจนเสร็จ มีตัวอย่าง สำหรับการฝึกไบเซ็ปต์นะครับ ตามลิงค์ไปชมกันเลย ของผมเอง :0)    หลักการฝึกกล้ามแขนส่วนหน้า
ท่าฝึกเดียวกัน แต่หลักการฝึกเอาของในบทความนี้นะครับ :0)

ทั้งหมดคือแนวทางที่ผมใช้ฝึกครับ จะทดลองสัก 3 เดือนแล้วจะรายงานผลให้อ่านกันครับ

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)

Thursday, October 31, 2013

สำหรับคนที่จะเริ่ม กลับมาเล่นเหวต อีกครั้ง หลังจากทิ้งมานาน ทำอย่างไร?

สวัสดีครับ ผู้รักสุขภาพทุกท่าน

    เราอาจจะพูดได้เลยว่า ความรู้สึกตอนเล่นเหวต กับตอนไม่เล่น สำหรับคนที่เคยเล่นมาอย่างต่ำเกิน 3 เดือนขึ้นไปนั้น จะรู้เลยว่า มันแลกมาด้วยอะไรก็ตาม ไม่ได้เลย ต้องเล่นเองและเห็นเอง ไม่ใช้สลิงค์ครับ คนที่เคยเล่นจะพบว่า ผมพูดถูกต้อง

    สิ่งที่เริ่มก่อเกิดคือ เราจะมีความมั่นใจมากขึ้น ขณะที่จะมีสติ มีจิตใจที่สงบกว่าตอนไม่เล่นอย่างเห็นได้ชัด ขออย่างเดียว ให้เล่นด้วยทางสายกลาง ยืดเส้น ค่อยๆ สั่งสมกล้ามเนื้อไปตาม การฝึกที่ถูกต้อง และต้อง Cool Down ทุกครั้งหลังเล่นเสร็จ ครับ

     แนวทางนะครับสำหรับคนไม่มีเวลาจริงๆ หากจะกลับมาอีก ก็คงให้เล่นแบบประคองไปก่อนครับ สำหรับผม มีแนวคิดว่า สัปดาห์ละ 2 วันก็ยังดี มันจะมีผลหรือ น้อยไปไหม? นี่คือคำถาม

     ผมได้แนวคิดนี้มาจากเพื่อนคนหนึ่ง ตัวเขาน้ำหนักตัว มากเกิน 100 กิโลกรัม และ เวลาขึ้นบันได จากเจ็บที่เข่า เขาเคยฝืนขึ้นเหมือนคนปกติ ก็ย่ำๆ ไป แต่ตอนนั้นมัน ลามไปเป็นเข่าอีกเสบ กว่าจะหายเป็นปีๆ เลยนะครับ เมื่อหายมาได้ เขาเข็ดครับ เมื่อต้องขึ้นบันได แขนซ้ายของเขาจะ ช่วยพยุง และ ดึงตัวขึ้น ไปพร้อมๆ กับ ขาที่ส่งน้ำหนักตัวขึ้นไป ปรากฎว่า ทำแบบนี้ เ่ข่าของเขาหยุดอยู่แค่ เจ็บแต่ไม่ลุกลาม

    หลายปีผ่านไป เขาเริ่มสังเกตุว่า ขึ้นบันได ได้คล่องกว่าเดิม แขนซ้าย มีแรงดึงมากกว่าเดิม นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกครับ ให้นึกถึงคนงานแบกข้าวสารไว้ครับ แต่ละคนนี่ กล้ามงามๆ ทั้งนั้น และไม่ต้องไปออกกำลังกล้าม โดยอาศัยท่าไหนๆ ท่าแบกข้าวสารนี่ล่ะครับ แต่นี่มันคือ การเล่นกล้ามแบบ ธรรมชาติ

    การที่เขาใช้แขนซ้ายช่วยขึ้นบันได และ ใช้แขนขวา ช่วยพยุงตอนลงบันได้ ทำให้แขนทั้งสองข้างเกิดการพัฒนากลุ่มกล้ามเนื้อ ที่ใช้งานจริง ๆ ขึ้นมา นี่ล่ะ ความมหัศจรรย์ ของร่างกายคนเรา

    ผมเคยคิดว่า หากเราเล่นแบบ พยุงคือ ไม่ได้มีเวลา หรือตั้งใจจะเล่นจริงจัง แต่ยังรักการเพาะกายอยู่ อยากจะรักษามวลกล้ามเนื้อไว้ ใช้งาน ซึ่งมีดีกว่า ไม่มี คนเราอายุมากขึ้น ฮอโมนร์ต่างๆ ลดลง แต่มันจะกลับมา เพิ่ม หรือ ประคองไว้ หากเราเพาะกาย เพราะกล้ามขึ้นไม่ได้ หากขาดฮอโมนร์ ทางธรรมชาติ คือมันเป็นวงจรของมัน อันทำให้ คนที่ต้อง บุกบั่นฝ่าฟัน ก็ยังมีกล้ามมีความแข็งแรง บางคน 80 ปี แล้วกล้ามกลับแน่นสวย กว่าหนุ่มๆ ก็มีครับ ขณะที่ หนุ่มๆ อายุเกิน 35 ปี กินๆ นอน ก็ย้วยขึ้นทุกวัน แบบนี้

    ธรรมชาติ มันต้องเอาตัวรอด มันคงนึกว่า การเล่นกล้าม คือ งานอย่างหนึ่ง คนๆนี้ ต้อง เจอกับน้ำหนักโหดๆ สัปดาห์ละ 3-4 วัน มันก็ไม่ยอม หยุดทำงาน ต้องมาช่วยสร้างร่างกายไปเรื่อยๆ แบบนี้ เพื่อคนที่เพาะกายจะได้ รอด ในการเผชิญน้ำหนัก ที่ตัวธรรมชาติ มันนึกว่า เป็นภาระบางอย่าง (มีคุณกับเรา)

    ทีนี้ หากเราไม่เล่นมาก เอาหลักการทั้งหมดข้างต้น มารวมกัน เราก็เล่น น้อยสิครับ 2 วันไปเลย ข้อดีคือ

   1.คงต้องใช้เวลาเป็นปี กว่ากล้ามในแต่ละส่วนจะตอบสนอง เพราะเราไม่ได้ เล่น ตามตารางฝึก แต่เรายังคง ไม่ทิ้งมันสนิท มันจะเริ่มมีการพัฒนากล้าม จนขึ้นมาได้ และ พร้อมใช้งานได้เช่นกัน แต่ในฉบับ เอาตัวรอดได้ หรือ ฝาหรั่งเรียกว่า Survival นั่นเอง นี่เหมือน เพื่อนที่ผมเล่า คือ

                                                          " ฝึกเบา รอนาน แต่ใช้การได้"


                                                             


"Less is More"



 2. สุขภาพคุณย่อมดีแน่ เพราะคงความกระชุ่มกระชวยไว้ได้ แทนที่จะอ่อนล้า หรือ เครียดกับงาน ทุกสัปดาห์ กลายเป็นมีวัน ที่เราออกกำลังกายมาคั่นให้กลายเป็นทุก 3 วัน ประมาณนี้ สัปดาห์หนึ่ง 2 ครั้ง
ยังไงก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย

3.ฝึกน้อยๆ จะทำให้เราฝึกได้ถี่ ไร้ข้ออ้างเว้นการฝึก ต่อไปจะเริ่ม หรือมีโอกาส ที่แรงบันดาลใจ จะกลับมาแล้วกลับ ไปฝึกเต็มรูปแบบ เพิ่มวันฝึกเอง เพราะคุณรู้ว่า สัปดาห์ละ 2 วัน มันห่างจะ โปรแกรม 3 พัก 1 เพียงแค่ 1 วันเท่านั้น จริงไหมครับ เอา 2 วันก่อน แล้ว หากมีโอกาส อีกสัก กี่เดือน กี่ีปี ก็ยังกลับมาฝึกเต็มๆ ได้

4.ทำให้เราได้กลับมาทำความคุ้นเคยกับท่าฝึก การหายใจ และ ยังทำให้ ลดการเจ็บป่วย บาดเจ็๋บ จากการฝึก ได้น่าจะ 100 % ทำให้เรามีช่วงรอ เมื่อไรพร้อมไปฝึกเต็มๆ ก็ลดการบาดเจ็บ ได้เกือบๆ 100 % เช่นกัน

5.การฝึกเพาะกายแบบเบา จะคงกระแสการเพาะกายให้อยู่กับตัวคุณ และ อาจโน้มนำไปสู่ การออกกำลังกายอื่นๆ เช่น แอโรบิค ต่างๆ เช่น วิ่ง เดิน แกว่งแขน โยคะ เพราะ มันเหมือนปฏิกิริยาลูกโซ่ ที่การออกกำลังกายแบบหนึ่งจะพาเราไปสู่ การออกกำลังกายรูปแบบอื่นๆ ถามว่า ดีไหมครับ?

   โดยสรุปคือ สำหรับคนที่ คิดว่า ขยาดกับอาการปวดกล้ามเนื้อ เบื่อ ไม่ค่อยเคร่งครัด อย่างใช้ชีวิตเสรี หน่อย ไม่ต้องอยู่ในตารางฝึก มาสิครับ มาฝึกแบบเบาด้วยกัน เพียงสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เท่านั้นครับ พอแล้ว

  แนวทางการฝึกนะครับ ขอเสนอไว้คร่าวๆ ดังนี้

 การฝึกเพาะกายแบบเบา แนวคิด โดยคุณบอลล์

1.ควรฝึกทุกกลุ่มกล้ามเนื้อ ตามปกติ ทยอยเล่นทีละท่า สองท่านะครับ ทีละส่วนกล้ามเนื้อด้วย ห้ามฝึก
   วันเดียวครบทุกส่วน ของดี จะกลายเป็นของเสียนะครับ ห้ามไว้เลย ระวังด้วยครับ อันตราย
2.เล่นให้ถูกท่า หายใจให้ถูกวิธี
3.มีการยืดเส้น วอร์ม เล่นแบบมีสติ สมาธิ และ ต้อง Cool Down เสมอ
4.ถ้าเป็นผมนะครับ หากวันธรรมดา ก็ จันทร์ กับ พฤหัสบดี ครับ ทิ้งช่วงกันแบบ 3-4 วันได้เลย
   เพราะหากเน้น 2 วัน มันก็ กลายเป็น ฝึก 3 พัก 1 ไปอีก
5. หากเป็นเน้นวันหยุด ผมว่า อาิทิตย์ กับ พุธ ครับ

  อย่างไรก็ตาม การทานอาหาร ก็ต้องเน้นหน่อย คือวันฝึก ก็ควรทาน มื้อพิเศษ เน้นโปรตีน สัก 1 มื้อเพิ่มเข้ามาครับ เรื่องวันไม่จำเป็นต้องทำตามผม ให้กำหนดวันได้ แต่ระยะห่าง ควรเป็น 3-4 วัน ครับ

     ขอให้มีความสนุก และเบิกบานใจ ที่ท่านไม่ต้องทิ้งการเพาะกายที่ท่านชอบ ไว้ข้างหลังอีกแล้วนะครับ พาเขาเดินทางผ่านกาลเวลา ไปสู่วันแห่งการมีสุขภาพดี มีความพร้อมด้วยกันกับท่านครับ

ขอใ้ห้ทุกท่านมีความสุข

สวัสดีครับ
คุณบอลล์  :0)

Sunday, October 27, 2013

ขอบคุณสำหรับ ยอดการเข้าชม เฉลี่ยเดือนละ 5,000 ครั้ง สำหรับบล็อก เพาะกายแบบแมนๆ สไตล์ "คุณบอลล์" ครับผม

สวัสดีครับ

   เพียงระยะเวลา 2 เดือน กับยอดการเข้าอ่านบล็อกของผม มากถึง 10,000 กับ 81 ครั้ง ณ วันนี้ วันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ.2556 เวลาราวๆ 9.30 น. สำหรับผม มันมีค่ากับผมมากครับ และยังทำให้ผมเกิดความ เขินอาย เพราะผมคงปล่อยให้ความเชื่อถือ จากแฟนๆ บทความหมดไปกับ การเข้ามาชมบล็อก แล้วไม่มีอะไรอัฟเดต ไม่ได้ีอีกต่อไปแล้ว

    ผมต้องเริ่มกลับมาหมั่นเพิ่มบทความ (คุณภาพ) เพิ่มขึ้น ให้มีความถี่ใกล้เคียงกับ 2 ปีก่อนครับ เนื่องจากกรอบการทำงาน และ ความสนใจของผม เติบโตไปตามอายุ ทำให้ มีงาน มีภารกิจที่เพิ่มเข้ามา แม้อาจจะ ใส่เต็มร้อย ให้ไม่ได้เหมือนเดิม (อันนี้ไม่แน่ครับ เพราะการรักษาสุขภาพเป็นเรื่อง ที่ต้องใส่ใจตลอดชีวิต) ก็จะพยายาม อัดให้ได้สัก 95% ครับ :0) (แล้วจะเขียนทำไม? ฮา... มันก็คล้ายๆ เดิมนั่นล่ะ)

   เดือนตุลาคม ผมเอง ยังต้องเตรียมงาน นำเสนอรายงานประจำปี สำคัญมาก ให้กับหน่วยงาน ทำให้ ปีนี้ จัดเต็มๆ ไป 9-10 เดือน จนจบงาน และ ต้องเริ่มวงรอบใหม่ ในอีกไม่กี่วันจากนี้ จากการประชุมใหญ่ของสถาบัน จึงเริ่มคิดว่า อย่างไรเสีย ต่อไป มีแน่ ปีละ 9 เดือนอย่างต่ำ ที่ต้องลุย กับเนื้องาน จนถึงวันนำเสนองาน จึงคิดว่า เวลาอาจจะมีน้อยลง
 
    แต่หากมองในแง่ดี เราอาจจะใช้ การบริหารเวลา หรือ Time Management เข้ามาจัดการ ได้ครับ ต้องเริ่มเอาสิ่งที่อ่านๆ มา มาใช้กันเสียที เพราะไม่แน่ ผมอาจทำสิ่งดีๆ ได้เยอะขึ้น ในขณะที่ใช้เวลาน้อยลงก็เป็นได้ครับ

    จากย่อหน้าก่อน ภาษาชาวบ้านเราๆ เรียกว่า ต้องรู้จักแบ่งเวลานั่นเอง

    เอาอีกแล้ว พาเพื่อนๆ พี่ๆ คุยนอกเรื่องตามเคยครับ เอาล่ะ ตอนนี้ยอดชม เป็น 90,081 ครั้งแล้ว ขอขอบคุณมากๆ ครับ มันเหนือความคาดหมายมาก กับการ อัฟเดตน้อยมากในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ต้องขออภัยครับ และ สัญญาว่าจะชดเชยให้ ท่านผู้อ่านบทความ มากกว่านี้ครับ :0)

     ขอให้ช่วยเป็นกำลังใจให้บล็อกของผมกันต่อไปครับ เพื่อมุ่งหน้าสู่

       1.การมีบทความคุณภาพด้านการเพาะกายที่เพิ่มมากขึ้น เป้าหมาย ไม่ต่ำกว่า
          100 บทความก่อน ต.ค. 2557   และ

       2.ยอดการเข้าชมบล็อก ทะลุ 100,000 ครั้ง ก่อน Happy New Year 2557 ครับผม


    ถามว่าตั้งเป้าหมายไป หวังอะไรหรือ เปล่าครับ เพราะชีวิตนั้นเมื่อเรา รู้ว่า กำลังมุ่งหน้าไปสู่่อะัไร จะทำให้เรา เป็นคนมีทิศทางครับ ง่ายๆ สบายๆ ครับผม

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)

Monday, September 23, 2013

การจัดการความรู้ KM เมื่อผมนำเขามาใช้ในบล็อกของเรา กับ เส้นทางการบำบัดอาการฉี่บ่อยเบื้องต้น จากมิตรรัก

สวัสดีครับ

     ผมทำบล็อกเพาะกาย แห่งนี้มาก็เข้าปีที่ 3 กับยอดเพื่อนๆ เข้าชม ราวๆ เกือบ 100,000 ครั้งผมถือว่า มีสิ่งหนึ่งในชีวิตผม ที่ทำได้สำเร็จเกินความคาดหมาย แต่อยากจะขยายมันออกไปให้ครอบคลุมเรื่องการดูแลสุขภาพด้วย วันนี้จึงเอาผลงาน การจัดการความรู้ หรือ KM หรือ Knowledge management มาประยุกต์ใช้ผ่าน การจัดทำ แผนผังเชื่อมโยงความคิด/ความรู้ครับ

      มันนับว่าเป็นกระแสนวัตกรรมของคนทำบล็อก แบบผมเสียจริงๆ เรื่องมีอยู่ว่า... เพื่อนของผม เขาประสบปัญหามาได้ 10 ปีกว่าแล้ว ในการที่ต้องลุกขึ้นมาตอนกลางคืน แล้วไปห้องน้ำ คืนหนึ่งหลายครั้ง จนไม่ต้องหลับนอน เขาผัดวันประกันพรุ่งมานาน จนลืมไปแล้วว่า การบำบัดทางเลือก ก็ที่ตัวเรานี่ล่ะ จนวันหนึ่งเมื่อ 2 ปีก่อน เขาพบว่า มันมีวันพิเศษ ที่เขาจะเข้าห้องน้ำลดลงเหลือ 2 ครั้งต่อคืน จริงๆ คนปกติ ก็ครั้งเดียวพอมังครับ แต่สำหรับคนที่ลุกเข้าห้องน้ำ คืนละ 6-8 ครั้งหรือมากกว่านั้นแบบเพื่อนคนนี้ของผมแล้ว 2 ครั้งต่อคืน คือ สวรรค์แล้ว...


       จนเขาสังเกตุพบว่า หากเขาเลื่อนเวลากินข้าวเช้าออกไป ราวๆ 10 โมงเช้า กินแป้งน้อยลง กินน้ำช้าออกไปหน่อย และอะไรอื่นๆ เขากลับและเปลี่ยนอาการป่วยได้จริงๆ ผมจึงได้ใช้ กระบวนการ การจัดการความรู้ หรือ KM เข้าไปดูดความรู้ของเขาออกมา โดยให้เขาเล่า แบบสุนทรีย์ คนวงการ KM จะรู้ดีว่าคืออะไรเล่ามา ผมก็เอามาเข้า แผนผังเชื่อมโยงความรู้ และมันก็ได้ลิงค์นี้ออกมา ลองตามไปดูกันครับ คำเตือน มันคือแนวคิดของผู้มีอาการฉี่บ่อยตอนกลางคืน คนหนึ่ง มิับังอาจเรียกว่าวิธีรักษาแต่ขอให้เอาไปพิจารณาและศึกษาหาจุดที่เหมาะกับคุณเอาเองนะครับ ดีที่สุดปรึกษาหมอก่อนครับ ไปดูแผนผังเชื่อมโยงความรู้ เรื่อง การบำบัดอาการฉี่บ่อย กันดีกว่า คลิกที่นี่

     กรุณาอ่าน ก่อนคลิก  

                1.ปรึกษาหมอก่อนได้เป็นดีที่สุด กับอาการนี้
                2. ผู้ป่วยโรคไต ระวังน้ำผลไม้ อาจไม่เหมาะกับคุณ เข้าใจว่า หมอห้ามนะครับ
                3. การดื่มน้ำ ที่เว้นช่วงนานไป หลังมื้ออาหารอาจจะเหมาะกับบางคน ไม่ทุกคน อาจกินสัก
                    1 แก้ว พอให้สดชื่น

    * ย้ำอีกครั้งว่า ดูแล้ว อ่านแล้ว ต้องหาจุดที่เหมาะกับคุณเอง และ ปรึกษาคุณหมอเสมอครับ

     ถ้าแนวทางที่นำเสนอ เป็นประโยชน์ และลดอาการทรมาน ของคนที่มีอาการเหล่านี้ลงได้ ขอมอบกุศลนี้ทั้งหมด ให้คุณแม่ คุณพ่อ น้องชาย น้องสะใภ้ หลานชาย และ เธออันเป็นที่รัก และหนูน้อยผู้ช่วย ตลอดจนขอให้กระผมมีสุขภาพดี มีพลังในการค้นหาความรู้ดีๆ มารับใช้สังคมต่อไปในอนาคต ....สาธุๆๆ

 สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)



Wednesday, August 28, 2013

กระแสนี้ ไม่ใช่ธรรมดา เพราะคุณแทบไม่มีข้ออ้างในการ ออกกำลังกาย ทำไม?

สวัสดีครับ

    มีกี่ครั้งแล้วครับ ที่สำหรับบางคน ออกกำลังกาย แล้วเลิก แล้วก็กลับมาอีก แบบนี้ ซ้ำๆ กัน หลายๆ คน เป็นแบบนี้มาตลอดชีวิต สาเหตุมันก็ไม่น่าจะอะไรมากมายนักนอกจาก การออกกำลังกายแต่ละอย่างนั้น มันมีลายละเอียด และ การตระเตรียม ที่มาก เยอะ และ ทำให้ หลายคน มีข้ออ้างเรื่องเวลา มาอธิบายตัวเอง ในที่สุด เมื่ออธิบายได้ ก็เลิกออกกำลังกาย วันหลัง ก็เอาใหม่อีก เจอกีฬาอื่น ก็เริ่มกันอีก แล้ว ก็หาข้ออ้างอีก แล้วก็เลิกอีก เป็นแบบนี้ มาตลอด บางคน ตลอดชีวิต

   อย่างไรก็ตาม จากย่อหน้าข้างต้น มันมีเรื่องดี เรื่องหนึ่งคือ คนแบบนี้ ยังถือว่า ยังอยู่ในเส้นทาง รักสุขภาพ นั่นเพราะ เป็นคนแบบ ยังเจ็บไม่พอ จะขออีกสักที ล้อเล่นครับ คือ ยังชอบที่จะดูแลตัวเอง คอยเปลี่ยน หาจุดที่ตัวเองทำได้ ไปเรื่อยๆ ขอดีคือ จะไม่มีปีใด ที่คุณห่างหายจากการออกกำลังกาย แม้ว่าจะไม่ได้ทำต่อเนื่องก็ตาม ซึ่งผมว่า ก็ยังดีครับ ;0)

     อย่างไรก็ตาม หากมีปัญหาข้างต้น นักเพาะกาย ที่อาจจะว่างจากการเพาะกายไปนาน เป็นเดือน ปี เล่าจะทำอย่างไร ที่จะยังคงความ ฟิต เอาไว้ได้ ผมขอเสนอ   "การแกว่งแขน" ครับ






    ทำไม?

 1.การแกว่งแขน ทำได้ แทบทุกที่ แม้แต่ใน สำนักงาน ที่ทำงาน เพียงให้เป็นที่ มีอากาศถ่ายเท 
    ทำได้หมด
2. เนื้อที่ที่ใช้ ก็แค่ 1 เมตร * 1 เมตร หรือ 1 ตารางเมตรก็พอ คนที่ตัวเล็ก ใช้เนื้อที่น้อยกว่านี้อีก

 3. เล่ากันว่า มีที่มาจาก ท่านตั้กม้อ ซึ่งคนจีนเชื่อถือ อีกทั้งยังทำแล้ว มีผลต่อการ รักษาหรือ บรรเทา
     โรค หลากหลายชนิด

4. หากพิจารณาแล้ว การแกว่งแขน จะกระทำต่อเนื่อง ควรนับเป็น การออกกำลังกายแบบ แอโรบิค ได้ 
    ซึ่งมีผลดีต่อ ระบบไหลเวียนเลือด 

5.เมื่อเป็นแอโรบิค ก็คือการออกกำลังกาย คือ ได้ทั้ง ออกกำลังกาย และ ได้ทั้งการฝึกปราณ ช่วยรักษาโรคไปพร้อมๆ กัน

   เป็นต้น

     ถามว่า มันออกกำลังกายขนาดนั้นเลยหรือ คนที่ไม่เคยทำ อย่างเพิ่งทำมากครับ ลองสัก 1-200 ครั้งพอ คุณจะพบว่า ของเขาไม่ธรรมดา คนที่ทำเป็นประจำ ผมเคยอ่านเจอว่า ทำได้ คนละ 1,500-2,000 ครั้งต่อวัน เอากันให้นอนหลับ และ ละเมอฝันว่า แกว่งแขนกันไปเลย 

     ตัวผมเอง เคยคิดเล่นๆ หากจะหาการออกกำลังกายที่เป็น แอโรบิค ที่ดีที่สุดในโลก ผมว่า การแกว่งแขน นี่ล่ะครับ เพราะ ข้อใหญ่ๆ ไม่ได้รับความกดดันอะไรเลย อย่าง เ่ข่า คุณแค่ใช้พยุงย่อเล็กน้อย ข้อสะโพก ก็ไม่ได้ใช้มาก คือมีเพียง ข้อไหล่ที่เล็กกว่ามาก แกว่ง แล้ว เลือด และ ปราณ มันก็เดินจริงๆ ผมไม่รู้จะบอกอย่างไร ลองแกว่งแขนครับ 

      ลองต่อยอดกันนะครับ หาข้อมูลกัน เรื่อง การแกว่งแขน คุณจะไม่มีข้ออ้างในการออกกำลังกายอีกต่อไป วันไหน เบื่อการออกกำลังกายเดิมๆ  แกว่งแขน ไว้ เอาเป็นตัวหลัก ตัวช่วย ตัวคั่น ได้หมด เพียงแต่ อย่าง เลิกการออกกำลังกายครับผม

 สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0) 

Monday, August 26, 2013

ต้อนรับยอดการเข้าอ่าน 80,000 ครั้ง ในเร็วๆ นี้ ครับ พร้อมคำขอบคุณจากผม ครับ :0)

สวัสดีครับ

      ขอขอบคุณแฟนๆ คอลัมน์ ทุกท่าน จากวันที่ผมเริ่มเขียนบทความ เมื่อราวๆ 2 ปีก่อน ผมไม่เคยนึกเลยว่าจะได้รับการตอบรับ โดยมีคนเข้ามาอ่าน จนจะเกือบ 8 หมื่นคนในไม่กี่วันนี้แล้ว ประกอบกับเป็นจังหวะที่ผม เริ่มคลีคลายภาระงาน ที่ต้องรับผิดชอบ เป็นที่เรียบร้อย ก็ขอแจ้งไว้ว่า จะเริ่มกลับมาลงบทความ และคลิปแรงบันดาลใจดีๆ ให้คนไทย ได้อ่านกันอย่างต่อเนื่อง กันเหมือนเช่นเคยครับ

      นับว่าเป็นการ Reboot กันใหม่ ทั้งการเขียนบล็อก และ การทำงานของผม ที่จะมีเป้าหมาย และ เนื้องาน ที่แจ่มกระจ่างมากขึ้นครับผม

       อย่างไรก็ตาม ขอบคุณแฟนๆ บทความทุกท่านมากๆ ครับ

สวัสดีครับ
คุณ บอลล์ :0)  

Thursday, July 4, 2013

ปรามๆ ลูกหลานเรื่อง สมาร์ทโฟน และ แท็ปเล็ต กันบ้างนะครับ

สวัสดีครับ คนรักสุขภาพทุกท่าน


      ผู้คนมากมายยังมีความประมาทมากจริงๆ ในสังคม ที่มีความบันเทิง ทั้งไกลและใกล้ มากที่สุด ตั้งแต่มีการตั้งอารยธรรมของ มนุษย์ยุคใหม่ขึ้นมา ราวๆ 30,000 ปี จริงๆ ผมว่า มันน่าจะมากกว่านี้ แต่ตำราวิทยาศาสตร์ฝรั่งเขาเพิ่งค้นพบหลักฐานเท่านี้ ก็ว่าตามนี้ไปก่อน

     เมื่อ 4-5000 ปีก่อน คนสมัยนั้นต้องเป็นคนชั้นสูงจริงๆ จึงจะมีเวลาทำสิ่งที่ชอบ ที่ไหน เมื่อไรก็ได้ แต่ปัจจุบัน เพราะเจ้า สมาร์ทโฟน และ แท็บเล็ต ทำให้เราทำแบบนั้นได้ เช่นเดียวกัน ความบันเทิงใจ ติดตามเราไปทุกที่ เพียง เปิดเครื่องแล้ว คลิกๆๆ ก็ไปอ่าน ไปดู และซื้อหาสินค้า ได้ดั่งใจ เราอาจคิดว่า คนเรา กำลังมีความสุขมาก จริงๆ อย่ามองโลกในแง่ ดีมาก เกินไป

     เพราะคนสมัยก่อน มีภาระหน้าที่ต้องทำ เพื่อเอาตัวรอด ความสุข มักจะมาจาก การรวมกลุ่มกันกินข้าว หรือทำกิจกรรมด้วยกัน งานเทศกาลต่างๆ และ วันสำคัญของเมือง หรือวันรวมญาติ ทำให้พวกเรารู้จักคำว่า  พบสิ่งที่ไม่พึงใจ และ พบสิ่งที่พึงใจ อย่างชัดเจน พวกเขาสามารถรอเวลาเป็น เวลา 1 ปี เพื่อจะให้ถึง วันตรุษ สารท อีกครั้ง ขณะที่รู้จัก อดทนทำงาน ที่ไม่ค่อยพึงใจนักได้ตลอดปี คือ มี ขาว มี ดำ คล้ายๆ หลักของ เต๋า ที่ ต้องถ่วงดุลกัน

     ขณะที่ ปัจจุบัน คนยุคใหม่จำนวนมาก และเด็กอ่อนๆ ที่กำลังเล่น แท็บเล็ต สมาร์ทโฟน อย่างเอาเป็นเอาตาย พวกเขาได้ความพึงใจ "ตลอดเวลา" นี่คือสิ่งที่น่ากลัว ในชีวิตคุณเคยสักครั้งไหมครับ ที่เคยเห็น
คนที่ดู ใส เบาๆ ดูแล้วเหมือนคนมีความสุข บรรลุชีวิต แต่ มาถูกการขัดใจ ไม่พอใจ เพียงไม่กี่เรื่อง ก็เปลี่ยนเป็น ยักษ์ อาละวาด พฤติกรรมเปลี่ยนเป็นคนละคน ผมว่า สักครั้งน่าจะได้พบมา นั่นคือ ธรรมดาโลก มันต้องมีคนแบบนี้บ้าง ผมวิเคราะห์ ง่ายๆ คือ บางที แม้แต่เขาเอง ก็ไม่รู้ตัวว่า เพียงตัวเองมีชีวิต ที่สุดสบาย ราบรื่นมาโดยตลอด แล้วเขาจะดูมีความสุขตลอดเวลา  ได้มารู้ตัวอีกที ก็ตอน ได้พบความไม่พึงพอใจนี่ล่ะครับ จึงได้ระเบิดอารมณ์ออกมา ทำไม?

     คนจีน มีหลักความเชื่อว่า คนเรา อยู่เฉย มักคิดชั่ว   เมื่อจิตเราเฉยมานาน มันก็อาจจะเป็นได้ ที่จิตมันเลือกทางชั่ว คือ พอโดนขัดใจ มันเลือกอาละวาดครับ

     ขณะที่เยาวชนมากมาย  โดนมอม ด้วย อุปกรณ์พกพา ที่ ไม่มีการสอนการใช้งาน พวกเชารู้แต่ว่า เล่นไอ้พวกนี้ แล้วสนุก แล้วดี กดทีเดียว ภาพสวยๆ เกมส์ สนุกๆ ก็มาถึงที่ สนุกกันใหญ่ พ่อแม่ต้องสังเกตุนะครับ จะเห็นว่า เด็กเหล่านี้เงียบ และ สนใจแต่อุปกรณ์พวกนี้ ผมว่าไว้เท่านี้พอ ลองต่อยอดกันเอง

     แล้ววัยรุ่นล่ะ จะเห็นว่า "คนงาม หน้างอ" มีอยูเต็มบ้่านเต็มเมืองตอนนี้่ สมัยที่มือถือมาเมืองไทยใหม่ๆ ยุคที่ใครก็ซื้อได้นั้น คนเรามักจะใช้การยกมือถือมาโทร เพื่อเลี่ยงในทุกเรื่อง เช่น ไม่อยากคุย ไม่อยากสนใจ มีปัญหาก็รับมือถือแล้วเดินหนี บางคนก็ใช้ Fake Call สารพัด แต่มันก็ยังได้ สบตา กันบ้าง

     แต่อุปกรณ์พกพา พวกนี้ มันทำให้เราเป็น คนงาม หน้างอ คือ ยกขึ้นมา แล้ว มันเอา ดวงตาของเจ้าของมาไว้ที่พวกมัน คนจะไม่มองหน้ากัน ซึ่งมันไม่น่าจะดี ว่าไหมครับ

    ต่อไปเด็กจะไม่สนพ่อแม่ ไม่ไหว้ผู้ใหญ่ ครูอาจารย์ โดยเฉพาะอาจารย์ นี่ไม่ควรเอาแต่ก้มมองจอภาพ เพราะเราเป็น พ่อพิมพ์ แม่พิมพ์ หากครูอาจารย์ เป็นเสียเอง แล้วจะไปสอนใครจริงไหม เพราะทำเป็นมองอุปกรณ์เหล่านี้ ทักษะในการติดต่อ สัมพันธ์จะไม่ได้ ฝึกเลย น่าเสียดายมาก แต่ยังไม่เท่า กับการที่ คนพวกนี้ ถูกฝึกให้  เมาอยู่แต่กับ ความพึงพอใจ ที่ เกิดขึ้นที่ไหนเมื่อไรก็ได้ เพราะพวกเขาใช้ พวกอุปกรณ์พวกนี้ ได้ ทุกที่ ทุกเวลา

    เมื่อคนเราชินแต่กับความสุขสบาย ต่อไป ผมยังสงสัย คนรุ่นต่อไป มันจะเหลือ คนที่สู้ชีวิต กี่คน เกิดมีโรคระบาด คนต้องหนีเข้าป่า สมมติืนะครับ คนพวกนี้ อดมื้อกินมื้อ มีแรงเก็บของป่า ล่าสัตว์ กันไหม ผมสงสัยมาก ๆ  ถึงเวลานั้น กดหา App ช่วยหาของป่าก็คงไม่ทันกาล

      พอไปทำงาน ก็ไม่สู้งาน เจอปัญหา ก็หนี่ปัญหา คุยกัน แลกเปลี่ยนกันก็ไม่อดทน ทะเลาะกันง่ายๆ แบบนี้

      ทางแก้เฉพาะหน้าที่ผมพอมองเห็น คือ ต้องมีการสอน มารยาทในการใช้ อุปกรณ์พวกสมาร์ททั้งหลายครับ แล้วสอนตั้งแต่เด็กเล็กไปเลยจนถึง เด็กโต นักเรียน นักศึกษา และ คนวัยทำงาน ตลอดจนคนแก่ ด้วยครับ เพราะ คนแก่ เวลาใช้ ก็เป็น คนแก่ หน้างอ (เหี่ยว) เช่นกัน

      สิ่งที่ผมเขียนพอมีมูลไหมครับ?

สวัสดี

 

Saturday, June 22, 2013

บทความต่อไป --> แรงบันดาลใจ สู่ความสำเร็จ ลดน้ำหนัก ด้วยความมีวินัย กัดไม่ปล่อย เราคนไทยทำได้ :0)

สวัสดีครับ

   ผมคิดว่า นี่เป็นคลิปที่อาจจะทำให้ ใครบางคน น้ำตาไหล ยิ่งอ้วนๆ เหมือนคนในคลิป และ กำลังเดินอยู่ในเส้นทางเดียวกันกับเขา คุณทำได้ครับ


นี่เรียกว่า เป็นไปไม่ได้ อย่างนั้นหรือ?
คุณทำได้
ผมทำได้ 
ใครๆ ก็ทำได้

    เริ่มมันเสียแต่วันนี้ ไม่ว่าจะล้มเหลวมาสักกี่ครั้ง 

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ 
:0) 
       

Tuesday, April 30, 2013

ยินดีต้อนรับ คนรักเพาะกาย



                                                      "ร่างกายแข็งแรงย่อมดีกว่า"


อย่าพลาดโอกาสนะครับ สำหรับ การได้เรียนรู้ เนื้อหาด้านการเพาะกาย

ไ่ล่เรียงมา 3 ปี 100 กว่าบทความอ่านกันฟรีๆ โดยคนที่เล่นเพาะกายจริงๆ 
คอลัมน์ด้านขวา ด้านล่าง มุม Blog Achive มีรายชื่อบทความรอคุณอยู่
ไม่ต้องจ่ายเงินแพงๆ ก็ฝึกเพาะกายเองได้ ที่บ้าน หรือ ยิม ตามใจคุณ
สวัสดี ครับ

คุณบอลล์ :0)

Monday, April 22, 2013

อุปกรณ์ต่อไปหลังมี ดัมบ์เบล ดีๆ แล้ว น่าจะเป็นตัวไหน ในทัศนะของผม

สวัสดีครับ คนรักการเพาะกายทุกท่าน

     ผมเคยเขียนแนะนำเรื่องการซื้อ เข็มขัดฝึกเพาะกาย ถุงมือ รวมทั้ง ดัมบ์เบล ไปแล้ว วันนี้ ขอแนะนำว่า สิ่งที่เราน่าจะมีไว้ครอบครองก็คือ ม้านั่งเพาะกายครับ ทำไมผมจึงแนะนำว่า ควรเป็นอุปกรณ์ประกอบการเพาะกาย ที่เราควรมี มาอ่านกันดีกว่าครับ


      คนที่ตั้งใจฝึกเพาะกาย สายดัมบ์เบลและ บาร์เบล จะพบว่า  ท่าสารพัดท่า ในการเพาะกาย จะมีการใช้ม้านั่งเพาะกาย ประกอบ หรือ สนับสนุนอยู่จำนวนมาก เช่น การนั่งยกน้ำหนัก ออกกำลังกาย กล้ามเนื้อส่วนไบเซ็ป ไตรเซ็ป หลัง หน้าท้อง กระทั่ง หน้าอก เราก็ใช้ ม้านั่ง เพาะกาย กันทั้งนั้น ดังในรูป




        ม้านั่งเพาะกาย แบบทั่วๆ ไป

                   
ม้านั่งแบบปรับได้


             ผมจึงขอแนะนำครับ หากอุปกรณ์ตัวต่อไปยังนึกไม่ออก ก็นี่ล่ะครับ Bodybuilding Bench ครับ เนื่องจากใช้เนื้อที่น้อย ติดตั้งไม่ต้องใช้ความรู้อะไรมาก ซื้อมาวางในพื้นที่ว่างๆ ในบ้าน ก็เหมือนไปยิมจริงๆ แล้วครับ ว่าไหม

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)

 
       

Sunday, April 21, 2013

หากต้องการความยืดหยุ่น ที่มิใช่เพียงภายนอก ต้องนี่เลยครับ แกว่งแขน

สวัสดีครับ

  นักเพาะกายที่รัก การเพาะกายจะมีผลลัำพธ์ที่ดีเราต้องมีการ ยืดเส้น ยืดกล้ามเนื้อก่อนเล่น และหลังเล่นต้อง CooL Down อีกด้วย อ้อ ก่อนเล่น ก็ต้อง Warm up ด้วยนะครับ

   ในสไตล์การเล่นของผม ผมจะถือว่าเวลาการเพาะกายเป็นเวลาสำคัญ จะไม่ทำแบบเล่นๆ ต้องตั้งใจ แต่คงไม่ถึงขนาด หน้านิ่วคิ้วขมวด นะครับ แต่จริงจังในการเล่น โดย ขณะนี้ผมก็ยังนำการออกกำลังกายแบบจีน มาร่วมออกกำลังไปด้วยคือเรื่องของ การแกว่งแขน

    การแกว่งแขนนี่ ต่อไปจะดังกว่านี้ เพราะว่า ขณะนี้ภาครัฐก็มีโฆษณา ออกมาแล้ว ที่เป็นนางผีเสื้อสมุทร จับคนอ้วนไปกิน จำกันได้ไหม ก็รณรงค์ให้ เดินเร็ว กับแกว่งแขน พอดี นายคนนั้นแกว่งแขนจนผอมสามารถรอดออกมาจากกรงขังได้ เลยรอดตัวไป ผมว่าหลายท่านน่าจะเห็นกันแล้ว

      การแกว่งแขนต้องมีอะไรดีๆ แน่ๆ เพราะที่ประเทศจีน เมืองที่มี มวยจีนสำหรับการออกกำลังกายมากมายหลายประเภท เขายังนิยมการแกว่งแขนกันนะครับ ตามตำนานเล่าว่า เป็นวิธีออกกำลังกายของท่านตักม้อ ผู้ไปก่อตั้งวัดเส้าหลินนั่นเอง ทำแล้วจะทำให้สุขภาพดี และ อาจทำให้หายจากโรคร้ายได้นานาชนิดได้ อันนี้ลองไปต่อยอดค้นหากันเอาเองครับ

     การแกว่งแขนผมได้ลองมากับตัว พบว่า มีผลจริงครับ โดยเฉพาะคนอ้วนๆ อย่างผม ที่ตื่นนอนไม่ค่อยจะรู้สึกอิ่ม เพราะฝันเก่ง ทำให้นอนหลับไม่สนิท ตัวผมเอง เมื่อมาแกว่งแขนพบเลยว่า เลือดลมเดินดีมาก และเริ่มหลับสบายขึ้นเรื่อยๆ  ทำไมเป็นแบบนั้น

     การแกว่งแขนสอดคล้องกับทฤษฎีแพทย์จีนที่ว่า เมื่อเราเจ็บป่วย บริเวณใด นั่นแปลว่า มีการคั่งของพลังชี่ ที่บริเวณนั้น ทำให้เกิดการติดขัด ประมาณว่า พลังงานลบ ออกไม่ได้ บวกก็เข้าไม่ได้ เลยป่วย ทีนี้ การแกว่งแขนนี่นะครับ มันคือการขยับแขนทั้งท่อน ยืนทำ ต้องออกแรงทั้งตัว การแกว่งแขนที่ถูกต้องทำอย่างไร ลองหาในอาจารย์ google ครับ  พอแกว่ง เลือดลมมันก็ต้องเดิน ก็แกว่งเสียขนาดนั้น จริงๆ ไม่ได้แกว่งแรงอะไร เลือดมันก็ต้องเดิน  พอเลือดมันเดิน เพราะการแกว่งแขน มันก็ไปดัน พวกที่อุดตัน พลังชี่ลบก็จะเคลื่อนตัวออก เกิดพลังชีบวกไปแทนที่ และหมุนเวียน สุขภาพก็กลับคืนดีแน่นอน

     ในทัศนะของผม มันคือการออกกำลังกาย ที่พร้อมสำหรับคนมีวาสนาทุกท่าน เพราะอะไร เพียงท่านมีบริเวณ ประมาณ พื้นที่ ข้างเตียงไม่ต้องมาก ท่านก็ทำได้แล้ว แต่มีกฎเหล็ก ว่า

            "ห้ามทำในห้องอับลมเด็ดขาด"

     เพราะเรากำลังพูดถึงแกว่งแขนแล้วพลังชี่เดิน มันไปเอาพลังมาจากอากาศด้วยครับ หาก ไม่มีอากาศถ่ายเท พาลจะทำแล้ว อาการทรุดกว่าเดิมแน่ๆ ครับ

     ถามว่าหากจำเป็นต้องออกกำลังแกว่งแขนในห้องทำอย่างไร ก็ต้องทำให้ มีทางลมเข้าและทางลมออก ทางลม เข้า-ออก คืออะไร

     ผมขอนิยามว่า ต้อง อย่างน้อย เยื้องๆ กัน ห้ามอยู่ด้านเดียวกันครับ เช่น ประตูอยู่ทิศเหนือ หน้าต่างหรือประตูหลังย่อมอยู่ทิศใต้ เราต้องเปิด ทั้งสองทิศ น่ัะเอง สาวๆ อยู่ตามคอนโด หรือ กระทั่งหนุ่มๆ ก็ควรจะ ระวังประตูหน้านะครับ อย่าไปเปิดอ้า เพราะโจรจะถือโอกาสเข้าห้องได้  ต้องมี สายล็อค หรือสายคล้องๆไว้เสมอ ใครไม่มีให้ไปซื้อมามาติดตั้ง แล้วค่อยแง้มประตูให้ลมเข้าเท่าที่ทำได้ หาอะไรไปกันไว้ก็ได้ แต่ต้องคล้องสายคล้องไว้นะครับ

     ที่สำคัญสำหรับคนอยู่ที่คอนโด ควรเปิดแง้มประตูพร้อมสายคล้อง กันคนเปิดเข้ามา ไว้สัก 1-2 ชั่วโมงล่วงหน้า ก่อนการแกว่งแขนเพื่อไล่อากาศเดิม เมื่อคืน หรือ ก่อนหน้านี้ ออกไปจากห้องให้มากที่สุด ทำให้เนื้อที่ภายในเต็มไปด้วยอากาศใหม่ๆ มันจะคล้ายๆ เอาน้ำดีไล่น้ำเสีย ครับ ทำให้เวลาเราเริ่มแกว่งแขน มันจะมีอากาศใหม่ๆ ดีๆ มากพอ ที่จะให้เราสูด ตลอดการแกว่งแขนได้ไม่ขาด ขณะที่ลมใหม่ๆ ที่เข้ามาจะประตูหน้าต่าง ทิศใดก็ตามมันจะเติมเข้ามาเรื่อยๆ พร้อมไล่อากาศเสียที่เราหายใจออกออกไปจากห้อง

     หลังการแกว่งแขนหากมีเวลาก็ควรแง้มประตูให้ลมไหลได้ ไปอีกสัก 1 ชั่วโมง เพราะจะได้ไล่อากาศเสียออกไปหมด พร้อมๆ กับกลิ่นกายจากการออกกำลังของเราครับห้องจะได้ไม่อับ

     อ้อการแก้ปัญหาห้องคอนโดอับไม่ยากครับ เปิดประตูหลัง หน้าต่างให้กว้าง แล้วดึงม่านขึ้นให้แสงอาทิตย์ตลอดวันสาดถึง กลับมากลิ่นก็ยอมแพ้หมดครับ

      การแกว่งแขนควรทำให้ได้ อย่างน้อย 300 ครั้งสำหรับคนที่ ไม่ไหวจริงๆ หากจำเป็นก็ลองปรึกษาแพทย์ก่อน แต่วันแรกเริ่มจาก 50 ครั้ง ไป 100  ไต่ไปเรื่อยๆ ครับ สัก 4-5 วัน ค่อย 300 ครั้ง สำหรับคนที่มีกำลังวังชา แต่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ให้ค่อยๆ พัฒนาจำนวนครั้งไปเรื่อยๆ จนทำให้ได้ 30-40 นาที ครับ ที่ผมอ่านมา มีทำกันประมาณ 2000 ครั้ง ต่อวันนะครับ สัปดาห์ละ 3-4 วัน พอ

     การแกว่งแขนผมว่าไม่ต่างอะไรกับการเดินเร็วครับ และมันช่วยเรื่องความยืดหยุ่นสำหรับกีฬาเพาะกายได้ดีมาก แต่ไม่แนะนำให้ทำพร้อมกันในเวลาเพาะกาย หากเป็นแกว่งแขนเย็น เพาะกายเช้า หรือ ทำสลับวันต่อวันแบบนี้โอเคครับ เพราะเห็นว่าแกว่งแขนนี่ล่ะ เหนื่อยอย่าบอกใคร :0)

ลองนำไปทำกันดู

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)

     

Saturday, April 20, 2013

ยอดเข้าชมทะลุ 6 หมื่น ขอบคุณครับ และบทความใหม่ เมื่อนักเพาะกายป่วย

สวัสดีครับ

    วันนี้นับว่าเป็นโอกาสดีที่ผมได้พบว่า ยอดการเข้าชม บล็อกของผม มียอดทะลุ 60,000 ครั้ง เป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ กับระยะเวลาในการก่อตั้งยังไม่ครบ 2 ปีเสียด้วยซ้ำๆ นับว่า เป็นสิ่งที่สร้างกำลังใจให้กับ นักเขียน นักเพาะกายสมัครเล่นอย่างผมได้ไม่น้อย ก็จะขอใช้ยอดการชมนี้ สร้างสรรค์งานเขียนบทความด้าน การเพาะกาย การดูแลสุขภาพ ต่อไปครับ ขอบคุณทุกท่านมากๆ ครับ

    วันนี้จะขอเขียนเรื่อง เมื่อเวลานักเพาะกายป่วย เขาต้องทำอย่างไรบ้าง นักเพา้ะกาย ไม่ใช่ยอดมนุษย์ผู้ไม่มีทางเจ็บป่วยนะครับ เราสามารถเจ็บป่วยได้ครับ

    เริ่มจากวิธีคิดกันก่อน สำหรับแนวทางของผมนั้น เมื่อเราเจ็บป่วย เราควรหยุดการฝึกทันทีครับ ไม่ควรฝืนเด็ดขาด ทำไม?

    การที่เราเจ็บป่วย อาจมีการเกิดมาจาก ภายใน และ ภายนอก เช่น ภายในก็จากเชื้อไข้ที่เราได้รับมา และทำให้เราเกิดการเจ็บไข้ได้ป่วย ร่างกายอาจต้องการ การพักผ่อน เพื่อต่อสู้กับโรค และ เพื่อฟื้นฟูร่างกาย สำหรับภายนอก ก็อาจเกิดจาก การลำบากตรากตรำ ร่างกายไม่ได้พักผ่อน ทำให้ร่างกายเกิดอาการไข้ เพื่อนำพาให้ระบบทั้งระบบ ได้หยุดลง ช้าลงเพื่อ พักผ่อน สิ่งภายนอก ที่ว่านี้ อาจจะมาจากการฝึกของตัวเราเองด้วย

    ในวงการเพาะกาย บางคนอาจจะอ่านพบเรื่อง มีคนอยู่ 3 แบบที่ เพาะกายแล้วได้ผลแตกต่างกัน แบบแรงต้องพยายามมาก ทั้งๆ ที่โปรแกรมฝึกดี อาหารถูกต้อง ท่าฝึกผ่าน แต่กล้ามไม่มาง่ายๆ คนอีกแบบกลางๆ หากได้การฝึกดี ก็จะเริ่มเห็นผลของการฝึก กับแบบสุดท้ายที่เหมือน มีโครงสร้างทางธรรมชาติที่ตอบสนองต่อการเพาะกายได้ ดีเยี่ยม คือ ฝึกไม่เท่าไร ก็ได้ผลดีเยี่ยม

     จากคนทั้ง 3 แบบ ที่ว่า ผมก็คิดต่อว่า มันก็เป็นไปได้ที่จะมี คนที่ฝึกเพาะกายแล้ว ไม่เคยป่วยเคยไข้ แต่ขณะเดียวกัน อีกคนนิดๆ หน่อย ก็เจ็บก็ป่วย แบบนี้เราจึง ไม่ควรแนะนำใครก็ตามว่า หากฝึกแบบนี้เจ็บแล้วต้องซ้ำ มันไม่ใช่สูตรสำเร็จนะครับ เราควรคิดกันว่า เมื่อเจ็บป่วยแล้ว เราควรชะลอการเพาะกายลง หรือ ไม่ก็หยุดสักระยะ จะดีกว่า

     วิธีที่ผมใช้เมื่อป่วยไข้ ผมจะหยุดเป็นระยะๆ ดังนี้ครับ

ระยะต้น เพื่อรอดูอาการ เมื่อคุณแน่ใจแล้วว่า ป่วย คุณควรรอดูอาการ สัก 3 วัน ในระหว่างนี้ใ้ห้ยกเลิกการฝึกทั้งหมดในทันที ดื่มน้ำส้ม ทานยา ไปตามอาการ ดื่มน้ำมากๆ และเริ่ม ปรับพฤติกรรมการนอน ในนอนหัวค่ำ นอนให้มากขึ้น

    พ้น 3 วันเห็นว่าอาการดีขึ้น ทดลองยกน้ำหนักได้ แต่ให้น้อยกว่า ปกติ คือ เหลือเพียง 1 ใน 3 เท่านั้น
หากวันต่อมาเกิดอาการป่วยกลับมา ไม่หาย ให้เลิกการฝึกทันที

ระยะกลาง คือ ระยะที่พบแล้วว่า 3 วันไม่หายป่วย และ พอฝึกก็ยังไม่หาย ให้จัดเต็มครับ ระยะนี้ ต่ออีก 4-5 วัน ยกเลิกการฝึกทุกอย่าง ดูแลตัวเองไปครับ

ระยะยาว คือ หลัง 7 วัน ยังมีอาการอ่อนเพลียยังไม่หาย แนะนำให้ หาหมอก่อนเลย ตรวจให้ชัวร์ว่า เป็นเพียงไข้หวัด จากนั้น ก็ให้พักยาว อีก 1 สัปดาห์ หรือจนกว่า พละกำลังจะกลับคืนมา แล้วค่อย ตัดสินใจลงมือฝึก

   ผมทำตามแนวทางนี้มาตลอด กับสภาพร่างกายของคนที่ไม่ได้ออกกำลังกายเป็นประจำ ที่เล่นเหวตเป็นปี โดยไม่มีอาการเจ็บหนัก ทั้งจาก กระดูก กล้ามเนื้อเอ็น หรือ อะไรเลย เพราะหลักการนี้ ทำให้เรารู้จักอดทน ในการรอ ทำให้เราได้พักเต็มที่ ไม่ตึงไป ไม่หย่อนไป กล้ามเ้นื้อมันไม่หายไปไหนหรอกครับ ตามจริงแล้ว มีบางโปรแกรมฝึกด้วยซ้ำ ที่แนะให้ เราหยุดเลย 2 สัปดาห์ โดยไม่แตะน้ำหนักเลย เพื่อให้ร่างกายได้ซ่อมแซมตัวเอง บางตำราให้หยุดไปเลย เป็นเดือน ดังนั้น การที่เราป่วยแล้วหยุด ราวๆ 2-3 สัปดาห์ รับรองไม่มีผลต่อการฝึกครับ

    ทว่า ในทางตรงข้ามหากคุณเจ็บป่วยแล้วไปฝึก อาจมีอันตรายได้ หากร่างกายเกิดอาการช็อค ดังนั้นจงจำไว้ว่า ป่วยก็พัก ครับผม

    กรณีศึกษา/คำเตือน: นานมาแล้วเพื่อนผมคนหนึ่ง มีอาการท้องเสีย เขาเป็นอยู่หลายวัน ถ่ายท้องหลายครั้งใน แต่ละวัน ด้วยความคึก ทำให้หลังหายจากอาการท้องเสียเพียงวันเดียว เขาก็กลับไปเพาะกาย ปรากฎว่า มีอาการหน้ามืด กลับมาที่พัก หน้าซีดขาวเหมือนหายใจไม่ทัน เพื่อนรีบพาไปโรงพยาบาลพบว่า เขาขาดเกลือแร่รุนแรง เมื่อไม่ออกกำลังกายที่ออกแรงมาก จึงช็อค ดีที่ไม่เป็นอะไรมากครับ ดังนั้นต้องระวังด้วยนะครับ


Friday, April 19, 2013

การตั้งเป้าหมายในการฝึก สำคัญพอๆ กับการวางโปรแกรมฝึกเพาะกาย

สวัสดีครับ ผู้รักสุขภาพทุกท่าน

      ปลายสงกรานต์จนถึงวันนี้ ผมดันเป็นไข้ อยากเพาะกายก็ยังทำไม่ไหว ออกอาการคันไม้คันมือจริงๆ อยากจะกลับไป เพาะกายเร็วๆ ครับ วันนี้ขอเอาแนวคิดเบาๆ มาคุยกัน ก็คือ สิ่งที่นักเพาะกาย มือใหม่ กระทั่ง มือกลางเก่ากลางใหม่ ตลอดจนมือเก่าลายคราม ชอบลืม ก็คือ การวางเป้าหมายในการฝึกครับ

      ผมมีความเชื่อว่า การเพาะกาย คือการพาบุคคลหนึ่ง ก้าวล้ำ ในเรื่องกายและจิตใจ มากกว่าคนทั่วไป และการจะเป็นแบบนั้นได้ ต้องมี วินัย การจะมี วินัย แล้ว วินัยนั้น สร้างสรรค์ มิใช่ ทำลายตัวเอง ย่อมต้องมี เป้าหมาย ครับ เพราะ วินัยนั้นคิดด้วยตัวของมันเองไม่ได้ แต่เป็นเรา ที่จะใช้ วินัย ให้ เป็นไปในทิศทางไหน คำถามคือ เราจะเลือกมีวินัย แล้วเจริญขึ้น หรือ มีวินัยแล้ว ไม่ได้อะไรเลย

     การทำงานแบบมีวินัยนั้น ต้องมี ตัว สติปัญญาของเรา ร่วมทำงานไปด้วย โดย ผ่านทาง การวางเป้าหมาย จากประสบการณ์การทำงานของผม ขอแจกแจงย่อๆ ของเส้นทางเดิน ไปยังเป้าหมายดังนี้



     1.เริ่มจาก เป้าหมาย วางเป้าหมายไว้ครับว่า ประมาณ 3-5 ปี จากนี้ เราต้องการอะไร
           สำหรับในที่นี้ คือ การเพาะกายของคุณ เป้าหมาย ตัวอย่างก็เช่น

         -มีกล้ามเนื้อทุกส่วนเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยเทียบได้จากรูป Before และ After
         -กรณีคนอ้วนน้ำหนักมาก อาจจะระบุว่า น้ำหนักจะลดลง 30 กิโลกรัม /คนผอมก็อาจจะเพิ่มน้ำ
           หนักตัวจากกล้ามเนื้อสัก 10 กิโลกรัม
         -สุขภาพแข็งแรงยอดเยี่ยม มีความคล่องตัว คล่องแคล่วในการดำเนินชีวิต
         -ยกน้ำหนักที่ 3 Sets เซ็ตละ 12 Reps ได้ที่น้ำหนัก .......กิโลกรัม ได้อย่างสบาย

    2. เริ่มโดยการ นำเป้าหมายข้างต้น มาแตก ออกเป็นรายปี เช่น เป้าหมายของคุณตั้งไว้ 3 ปี ให้คุณเขียน วัตถุประสงค์ ออกมาเพื่อเป็นการทำงาน รายปี ดังนี้

    วัตถุประสงค์ ประจำปีแรก

             -เล่นกล้ามให้ครอบคลุม ทุกส่วนของร่างกาย ให้ได้ประจำทุกสัปดาห์ ให้ได้ใน 2-3 เดือน
             -คนอ้วน น้ำหนักตัวลดลงหลังเล่นกล้าม ในปีแรกต้องทำให้ได้ 10 กิโลกรัม/คนผอมต้องสร้าง
                 กล้ามเนื้อให้เพิ่มขึ้นให้ได้ 3 กิโลกรัม
             -ออกกำลังกาย แนวแอโรบิกเสริม อย่างน้อย 1 กิจกรรม เช่น เดินเร็ว แกว่งแขน ว่ายน้ำเป็นต้น
             -ยกน้ำหนัก ที่ 3 sets เซ็ตละ 12 Reps ได้ที่น้ำหนัก 20 กิโลกรัม ได้อย่างสบาย

    จากวัตถุประสงค์ข้างต้น จะเห็นว่า เป็นการ หารเอาเป้าหมาย ให้เป็นจำนวนที่ย่อยๆ ลงมา จะเรียกว่า วัตถุประสงค์ ก็คือ เป้าหมายเป็นรายปี นั่นเอง คือเราซอย งานใหญ่ลงมาเป็นงานเล็กนั่นล่ะครับ

    3. ทุกปี ก่อนจะเริ่มปีใหม่ ให้เราประเมินด้วยว่า ทำได้ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่ หากใกล้จะหมดปียังไม่ได้ ก็ต้องทำให้ได้ เพื่อประกันว่า ครบ เป้าหมาย 3-5 ปีที่ตั้งไว้ เราต้องเคลื่อนไปทางบวก คือดีกว่าเก่า ไม่ใช่เท่าเดิม หรือ ถอยหลัง จะเห็นว่า เป็นระบบความคิด ที่เข้าใจได้ไม่ยากครับ


    4. ประเมินแล้วยังต้องให้ความสำคัญกับ จุดอ่อน ที่เรามีในปีก่อน แล้วนำมาปรับไม่ให้ผิดซ้ำในปีใหม่ ทำให้ ทุกปีเราจะดีขึ้นจริงๆ เป้าหมายสำเร็จได้แน่

   5. หากทำได้ครบ ตามกระบวนการ เราจะได้กล้ามเนื้อ ที่ต้องการ ชีวิตใหม่อย่างแน่นอน ต้องมีความเชื่อมั่นครับ

โดยสรุปคือ แค่พุ่งชนไม่ได้ครับ ต้อง มีสติ ปัญญา ควบคุม และใส่ใจ กับสิ่งที่เราทำด้วยจึงจะทำสำเร็จตามแนวคำสอนของพระพุทธองค์  ที่ว่าด้วยเรื่อง ธรรมะแห่งความสำเร็จ คือ

              1. ฉันทะ รักสมัครใจทำ
              2. วิริยะ ขยันหมั่นทำ เอาจริง
              3. จิตใจ มีจิตมุ่งในสิ่งนั้น ผมคิดเองว่า ต้องใส่ใจครับ ทำแบบใส่ใจ ไม่ขอไปที
              4. วิมังสา มีการใคร่ครวญทบทวน พิจารณา ผิดแก้ ดีเสริม มองกว้าง มองลึก

   หากทำได้ ทำสิ่งใดล้วนประสบความสำเร็จครับ


สวัสดี
คุณบอลล์ :0)
             

Wednesday, April 17, 2013

ปรัชญาตะวันออก กับ แนวคิดต่อการเพาะกาย ทำได้ไหม?


สวัสดีครับ
_________________________________________________________
หมายเหตุ: อนุญาตให้โรงยิม สถานเพาะกาย ครูฝึก นักเพาะกาย โรงฝึกเพาะกาย 
                 นำบทความนี้ไปใช้ได้ทั่วประเทศเพื่อสร้างสิ่งดีๆ ให้กับวงการเพาะกาย 
----------------------------------------------------------------------------

       ทำไมผมถึงมาเขียนเรื่อง วิธีคิด ปรัชญา แรงบันดาลใจ รวมทั้งเรื่องของการ พัฒนาปรับปรุงตัวเอง ให้พวกเราได้อ่านกัน ทั้งๆ นี่มันบล็อก ทางการ การเพาะกาย ไม่ใช่หรือ?

       ผมเชื่อว่านักเพาะกายและแฟนผู้สนใจ ในบล็อกของผมคงสงสัยกันมาระยะหนึ่ง วันนี้ขอเฉลยครับ ว่า ผมเป็นคนไทยคนหนึ่ง ที่เกิดมากับการ เคารพนบไหว้ ผู้ใหญ่ ศรัทธาใน ชาติ ศาสนา และ สถาบันกษัตริย์ ซึมซับวัฒนธรรม ของการ แสดงมุฑิตาจิต มีจิตปรารถนาดีต่อผู้มีพระคุณ  ยังได้เติบโตมาจากบรรยากาศที่ มีปรัชญาทางศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม และ พราห์ม หล่อเลี้ยงมาตั้งแต่เล็กๆ (แท้จริงแล้ว พวกเราทุกคนก็เหมือนกันนั่นล่ัะครับ เพียงแต่คุณจะได้สังเกตุมันหรือเปล่า)

       ผมจึงค่อยๆ ตกผลึกความคิดว่า คนเราทำอะไร ต้องมีสิ่งยึดเหนี่ยว มีแก่นสาร จึงจะเป็นคนเต็มคนได้ และในแก่นสารที่ว่านั้น ปรัชญา วิธีคิืด คือสิ่ง ที่เราจับมาใช้งานได้ง่ายที่สุด เีพียงคิดได้ ก็เสร็จแล้ว
จริงไหมครับ

        นั่นคือสาเหตุว่า ทำไม ในบทความตั้งแต่ปีแรกๆ ผมเน้นให้ ก่อนเพาะกาย ควรจะ

    1.วอร์ม 2.ยืดเส้น และ 3. ให้ไหว้ครูก่อน เล่น

       ผมกล้าบอกว่า ผมคือบล็อกเกอร์ ด้านเพาะกาย คนแรกของไทย หรือ อาจจะของโลก ที่ระบุ ชัดๆ ไว้เลยในบล็อกว่า ให้ไหว้ครูก่อน เล่นเพาะกาย เพราะ ฝรั่งมันบอกว่า กีฬาเพาะกาย เป็นกีฬาของเทพเจ้า ดังนี้แล้ว จะมาเล่นพร่ำเพรื่อ โดยไม่ระบุ ไม่นับถือไม่ได้ครับ และวัฒนธรรมไทยเรา การไหว้ครู ถือว่า เป็นการแสดงความกตัญญู กตเวที อีกด้วย

        อ้างอิง บทความที่ว่านี้ เชิญอ่าน ผมไหว้ครู ก่อนการเพาะกาย ทำไม?

      ข้อต่อมา ผมอยากวางรากฐานใหม่ ให้กับ การเพาะกายในประเทศไทย ที่จะเป็นผู้นำทางความคิดใหม่ๆ ให้กับกีฬาทั่วโลก เอาง่ายๆ คือมีฝันว่า กีฬาทุกประเภทควรมีการไหว้ครูก่อนเล่นครับผม

      ข้อต่อมา การเพาะกาย ซามูไร คาราเต้ มวยไทย หรืออะไรที่คล้ายๆ กัน เขาจะให้ความสำคัญกับ แนวคิด ปรัชญา ในการต่อสู้ ที่เน้นไปในทางสันติ สร้างสันติภาพ สร้างตัวตน สร้างการรู้จักตัวเอง มีวิธีคิด เป็นขั้นเป็นตอน อาจารย์ นอกจากจะสอนการต่อสู้ ยังสอนเรื่อง การครองตน การมีความอดทน อดกลั้น และคุณธรรมอื่นๆ ให้ลูกศิษย์

      ฝรั่งหรือคนจากภูมิภาคไกลจากเอเชียใต้ เอเชียตะวันออก จะชื่นชมแนวคิดดังกล่าวมาก เราจึงเห็นคนต่างชาติ หน้าแปลกๆ มาฝึกวิชา มวยไทย คาราเต้ ยูโด กันมากในภูมิภาคนี้ เขาไม่ได้มาหัดแ่ค่การเตะต่อย แต่เขามาซึมซับ ภูมิปัญญาทั้งหมดของเราต่างหาก หนึ่งในนั้นคือ ปรัชญาของตัววิชาครับ

      คำถามของผมคือ เป็นไปได้ไหม ที่เรา จะค่อยๆ สร้างปรัชญาการเพาะกาย แบบไทยๆ ขึ้น จนเราสามารถ สร้าง การเพาะกาย แบบ สยาม สไตล์ ขึ้นมาได้ อาจจะเรียกว่า Thai Bodybuilding - Siam Style 
อะไรประมาณนี้ แนวคิดนี้ ผมไม่หวงนะครับ ให้มีกำลัง ทำได้ทำไปก่อนเลย ผมว่าหากเราสร้างองค์ความรู้ใหม่ตรงนี้ได้ มันจะนำสิ่งๆ ดีๆ มาสู่ชื่อเสียงของประเทศเรา ครับ

     เอาล่ะ สำหรับคนตัวเล็กๆ อย่างผม ก็ขอเขียนไปเรื่อยๆ สร้างแนวคิด ใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ เพื่อให้เรามีแนวคิดร่วมกัน ในฐานะนักเพาะกายครับ เอ้าเข้าเรื่องกันดีกว่า

     ขอตอบหัวข้อบทความก่อน    ตอบว่า ทำได้ครับ   วันนี้ เอาปรัชญาทางพุทธ ผ่านศีล 5 มาใช้กันเลย รับรองสอดรับกับการเพาะกายได้อย่างแนบสนิทครับผม

 ศีล 5 กับการเำพาะกาย

1. ไม่เบียดเบียนสัตว์

     เราสามารถมองได้ในแง่การฝึกเพาะกาย ต่อตัวเรา เช่น ไม่เบียดเบียนตนเอง โดยการฝึกหนักเกินไป ใช้น้ำหนัก อย่างไร้ความคิด ต่อผู้อื่น เช่น การแบ่งกันใช้ สำหรับอุปกรณ์ต่างๆ สำหรับผู้ให้บริการ ก็ต้องมีราคา ที่ยุติธรรม อุปกรณ์สะอาดมาก เพื่อไม่ให้นักเพาะกายต้องติดเชื้อ เป็นต้น
     หากมองในด้านมารยาท ก็ไม่ควรยกตนข่มท่าน ว่าตนกล้ามใหญ่ ซิกแพ็ค สวยเหลืั้อเกิน ดังนั้นวิธีการฝึกของตัวเองถูกต้องที่สุด อย่างนั้น อย่างนี้ เราเองฟังแล้วก็อย่าเบียดเีีบียนความคิดตัวเอง เชื่อเขาทันที ต้องรูจัก ค้นคว้าเองด้วย จงสร้างบรรยากาศของมิตรภาพ ของคนในวงการเดียวกัน ไว้เสมอ
   
      หากมองในแง่การครองตน เมื่อเรามีกำลังมากกว่าคนธรรมดา ก็อย่าได้ใช้กำลังข่มเหงคนอื่น หากใช้เพื่อปกป้องคนที่เรารัก ปกป้องคนดี มีเรื่องต้องหยิบจับ ก็อาสา โดยกำลังแรงของเรามีมากกว่า อย่านั่งเฉยๆ เลี้ยงกล้าม แต่ไม่ชอบออกแรง เป็นต้น

      หากมองในแง่การสงเคราะห์ ก็ควรแนะนำ ผู้ที่มีโอกาส ผู้ที่สุขภาพไม่ค่อยดี ให้ลองปรึกษาหมอ แล้วลองมาเพาะกายด้วยกัน เพื่อช่วยกันสร้างสุขภาพที่ดี ไม่รู้เรื่องใด ไม่แนะนำเรื่องนั้น แต่สอบถามผู้รู้ในวงการเพาะกาย ค่อยแนะนำผู้อื่น เป็นต้น
 

2. ไม่ลักทรัพย์

      อันแรกเลย ในฐานะคนเขียนบล็อก อย่าได้เอาแนวคิดใครเขาไปเขียนต่อ โดยไม่มีการอ้างอิง และไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง คือ Copy ไปทั้งดุ้น ควรมีการทำ ลิงค์ กลับมายังไซต์ต้นฉบับด้วย

      การเพาะกาย อาจมีการหยิบยืมหนังสือ ข้อมูลกัน ก็อย่าให้ต้องตามทวง ควรมีมารยาท คืนเขาตามที่นัดไว้ ของยืมไม่คืน คือ การขโมย อย่าได้คิดแต่ไปใช้อุปกรณ์ของเพื่อน บ่อยๆ เข้า ก็ไม่ต่างอะไรกับการไปลักเวลา การใช้งานของเขา ไปลักเวลาอายุการใช้งานของเขา

      การลอกท่าฝึกถือเป็นครูพักลักจำ มันคือ การลักทรัพย์แบบหนึ่ง จะดีกว่าไหม เข้าไปทักทายพูดคุย ขอให้เขาสอนดีๆ ได้เพื่อน ได้ครู ได้ออกกำลังถูกวิธี

      ใช้เวลาในอุปกรณ์ หรือ เครื่องออกกำลังกาย แต่พอดี อย่าจองถนน อยูคนเดียว ควรออกแบบโปรแกรมการฝึก ที่ดี แล้วยังต้อง แคร์ ใจนักเพาะกายคนอื่น ที่มายืนรอแล้วรออีก อีกด้วย

      เห็นครูคนไหนแนะนำใครอยู่ อย่าเข้าไปขัดคอ เขา เรียกว่า ลักเอาความเคารพ คืออยากให้คนที่ถูกสอนมานับถือตน แบบนี้เรียกว่า ยังไม่โต รอให้เขาสอนก่อน แล้วค่อย ไปแนะนำแนวทางของตน ที่บริเวณอื่นๆ


3.ไม่ประพฤติผิดในกาม

      ในโรงฝึกต้องให้เกีีียรติ เำำพศตรงข้าม หรือ กระทั่ง เพศเดียวกัน ต้องแยกแยะให้ออก ว่า การฝึกจะต้องละเว้นเรื่อง กามารมณ์

    ต้องระมัดระวังเมื่อเห็นใครมาฝึกเป็นคู่ ก็อย่าไปอวดดี แทรกแซง แนะนำโน่นนี่ โดยไม่สนใจอีกคน เอาใจเขามาใส่ใจเรา ทักทายพองาม ไม่พูดมาก ปล่อยให้คู่เขาดูแลกันเอง หากมีการแนะนำ ก็ต้องทำสำหรับทั้งสองคน อย่าได้ ไปแยกคู่เขา ไม่ใกล้ชิดเกินไป ต้องรักษาระยะห่างให้ได้ จะได้รับการเคารพนับถือจากคนในวงการ

    นอกโรงฝึกไม่ถือเอารูปร่างอันงดงาม กล้าแกร่ง จากการเพาะกาย เป็นเครื่องมือในการ สร้างสัมพันธ์ที่ผิด กับ ลูกเขา เมียใคร มีความรับผิดชอบ ไม่เป็นพวกเจ้าชู้ัยักษ์ (จีบและลวนลาม) เจ้าชู้ไก่แจ้(จีบดะ)
ง่ายๆ คือ กูมีเกีียรติ กูมีอาจารย์ ก็ไม่ทำ พอครับ

4. ไม่พูดเท็จ

    สิ่งไหนไม่รู้ บอกไม่รู้ แนะนำ ให้ถามคนที่รู้จริง เมื่อบอกสอนท่าเพาะกาย จงตั้งใจแนะนำให้ครบถ้วน อย่าได้อำความ อย่าได้จินตนาการคิดเอาเอง ว่า ทำท่านี้ ได้อย่างนั้น ผลลัพธ์อย่างนี้ หากไม่รู้จริงๆ แนะนำสิ่งใดผิด ให้รีบแก้ไข อย่าได้ละอาย เพราะการแนะนำผิด อาจสร้างอันตรายกับผู้ฝึก

    ไม่อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง และอะไรอื่นๆ ทีพูดออกไปแล้วไม่ดี อย่าพูด

5. ละ้เว้นจากสิ่งมึนเมา

    ไม่ใช่แค่การงดดื่มสุรา ยาเมา บุหรี่ นักเพาะกายห้าม พวกนี้เด็ดขาดนะครับ แต่ยังเป็นเรื่องของ การฝึกแบบไม่บันยะบันยัง เล่นกล้ามหัวทิ่มทีเป็นชั่วโมง มีเว็บดีๆ บอกไว้แล้วว่า หัดเพียงวันละ 30 นาท ก็มีกล้ามสวยเป็นแชมป์ได้ แต่เรากลับเล่นทีละ ชั่วโมง 2 ชั่วโมง มันเกินความจำเป็นครับ อะไรที่ทำแล้วหยุดไม่ได้ ซึมกับมันนานๆ ก็คือ ความมัวเมา เ่ช่นกัน

     อีกอย่างที่คาดไม่ถึงคือ การค้นหาข้อมูลทุกวัน วันละนานๆ เรื่องเพาะกาย อ่านมันทั้งปี ไม่มีพัก แบบนี้ก็มัวเมาครับ ถามว่า หนักหัวใครไหม ไม่ครับ แต่หนัก เรื่องพลังชีวิตคุณน่ะ ผมเคยเล่าไว้ มีหมอเทพของจีน รักษาหายทุกโรค แต่ตัวเอง ตายแค่ 40 กว่า เพราะ มียาวิเศษ แต่ พลังชีวิต หรือ ชี่ ไม่เหลือแล้ว ก็ต้องตายครับ ตำนานเล่าว่า ท่านเล่นหมากรุกจีน ค่ำๆ ยันสว่างแทบทุกวัน ผมถามว่า ท่านที่มัวเมาเล่นเว็บ จะอะไรก็ตาม นอนไม่เป็นเวลา ท่านจะอายุยืนกว่าหมอ ท่านนี้ ผู้ซึ่งรู้จักการรักษาและดูแลตัวเองเลิศกว่าใครในโลกไหม?

 
ครับนี่เป็นแนวคิดของผม พบกันในบทความต่อไป :0)

คุณบอลล์ :0)

Wednesday, April 10, 2013

การเพาะกาย หรือ การควบคุมน้ำหนักตัว ควรจะเริ่มเมื่อไร และ อย่างไรดี

สวัสดีครับ คนรักสุขภาพทุกท่าน

    บทความนี้ขอแนะนำสำหรับคนที่เพิ่งจะเริ่มมาจับการเพาะกาย ครั้งแรก ไม่ว่าจะ เป็นคนอ้วนมาเพาะกาย หรือ เป็นคนผอมมาเพาะกาย การเริ่มต้นย่อมเหมือนกัน คือ เพาะกาย กันเสียที สำหรับคนที่ควบคุมน้ำหนัก ก็เหมือนกัน มันต้องเริ่มเสียทีครับ

     การเพาะกาย หรือ การควบคุมน้ำหนัก นั้น ไหนๆ จะเริ่มแล้ว ผมอยากให้ผูกเขาเข้ากับ วันสำคัญของไทย และบทความนี้ก็เขียนในเวลาอันเหมาะสม คือ อีก 2 วันก็เข้่าช่วงเทศกาลสงกรานต์ บ้่านเราแล้ว ผ่านวันที่ 13 เข้าวันที่ 14 ก็เริ่มปีใหม่กันล่ะ ปีใหม่ฝรั่งเขามีการ ตั้งความตั้งใจปีใหม่ ว่าจะเป็นคนดี เปลี่ยนตัวเอง สร้างสิ่งดีๆ ให้ตัวเอง หรือที่เรียกกันว่า Resolution นั่นเอง แล้วปีใหม่ไทย ล่ะ เราไม่ลองตั้ง Resolution ของเราบ้างหรือ?

    ให้คุณตั้งใจเลยครับ ว่า ปีใหม่ไทยนี้ เราจะเริ่มการเพาะกาย และจะทำต่อเนื่อง 3 เดือนแรกให้จงได้ จากนั้น ขยายไปอีก 3 เดือน แบบนี้ไปเรื่อยๆ ครบ 4 รอบ ก็ครบปีพอดี ลองมานึกภาพตามผมนะครับ


                         คุณรู้จักชายคนนี้ไหม? ท่านผู้นี้คือ ปิกัสโซ่ ศิลปินนามกระเดื่องของโลกเจ้าของวลีเด็ดข้างต้น สิ่งที่คุณจินตนาการได้ คือความจริง

                             เอ้า ขอแถม วลีเด็ดๆ ของท่าน ให้อีก สัก 1 line




                                       "Art is a lie that makes us realize the truth"
                                 แปล ศิลปะนั้นคือ การมุสา ที่ทำให้เราได้ ตระหนัก ถึง สัจธรรม

    สงกรานต์ปีหน้า ปี พ.ศ. 2557 คุณทั้งหลาย หยุดไปเที่ยงสงกรานต์ หรือ พักอยู่กับบ้าน หรือจะหย่อนใจอะไรก็ตาม แต่คุณมีรูปร่าง ที่เฟิร์ม และ ฟิต สุดๆ คนผอมก็ดูหนาสง่าขึ้น คนอ้วนก็ดูเฟิร์ม แข็งแกร่งขึ้น ไปไหนก็มีความมั่นใจ อันเป็นผลมาจาก การเพาะกาย ที่ได้ ทั้งพลังกาย และ พลังสมาธิ คุณว่าคุณจะมีความสุขในสงกรานต์ ปีหน้าขนาดไหม จริงไหมครับ

   คุณอยากให้ปีหน้า คุณมีสุขภาพดีเยี่ยม มีพลังเพิ่มมหาศาล หรือ อยากให้มันเป็นไปตามยถากรรม คุณเท่านั้น ที่เลือกได้ จริงไหม

   สำหรับคนที่ควบคุมน้ำหนัก  1 ปีผ่านไป คุณจะมีน้ำหนัก ลดลงประมาณ 10 กิโลกรัม เพราะลดข้าวเย็นที่เป็นแป้งลงและออกกำลังกาย คุณว่าน่าจะดีไหม จินตนาการตามผมมาสิครับ คุณเดินไปกับเพื่อนก็คล่องแคล่วไม่เหนื่อยง่าย ไปกับแฟน ก็มั่นใจ ไปกับครอบครัว ทุกคนทึ่งว่า คุณได้เปลี่ยนไปในทางที่ดี
ทุกอย่างดีขึ้นหมด ด้วยการควบคุมและลดน้ำหนักลงไป เพียงเรื่องเดียว แต่ให้คุณ กับคุณ นานับประการ เคยสงสัยไหมว่า ทำไมคุณไม่ลงมือทำ ลองถามตัวของคุณเองครับ

   ผมมีแผนของผมแน่นอน นั่นคือ การที่ผมจะผอมลงราวๆ 10 กิโลกรัมให้ได้ และผมจะเป็นอย่างที่ผมจินตนาการเอาไว้ข้างบน และผมจะเล่นเหวต ควบคู่ไปด้วย ใครล่ะครับที่ห้ามไม่ให้เราทำสิ่งดีๆ พร้อมๆ กัน หรือคุณจะลองทำแบบผม? คุณนั่นอีกล่ะที่จะให้คำตอบ

สวัสดีครับ
คุณ บอลล์ :0)

Tuesday, April 9, 2013

แนะำนำหนังสือ ดี จากคนในวงการเพาะกายไทย

สวัสดีครับ

    ตัวผมเองก็นับว่าเป็นนักเพาะกาย แต่เป็นแบบสมัครเล่น คือเล่นด้วยใจรัก เนื่องจากเป็นคนตัวใหญ่สักหน่อย(จริงๆ ก็ไม่หน่อยล่ะ ฮ่ะๆ) ทำให้ต้องเล่นกล้าม แบบลดลงมา ไม่ใช่ สร้างขึ้นไป ซึ่งปกติการสอนกันในสื่อจะเน้น คนรูปร่างปกติ ไม่อ้วน ทำให้ เรามักจะเห็นประโยค คุ้นหูว่า ต้องทำน้ำหนักขึ้นไปก่อนแล้วค่อยรีดลงมา ประมาณนี้ แต่ในทางเทคนิดมันมีอะไรมากกว่านี้ นะครับ ไ่ม่ใช่แค่นี้
 
    ตัวผมต้องเล่นแบบกลับกัน คือ มีทั้งแรง บวกไขมันเป็นของแถม ทำให้เล่นได้ค่อนข้างอึดและทน ก็ต้องค่อยๆ ปรับการกินพวกแป้งลงมา ขณะที่เล่นกล้ามอยู่ก็ต้องกิน 6 มื้อ แเละต้องระวังไม่ให้กินแคลอรี่มากไปน้อยไป โอย คนอ้วนนี่เล่นกล้ามมันยากเหมือนกัน แต่หากเราเอาจริง ก็ทำได้ครับ

     เกริ่นมาเสียยาวเลย ประเ็ด็นคือ ผมเป็นนักเพาะกายสมัครเล่น พอมีความรู้อยู่บ้าง อาศัยว่าเป็นนักอ่านตัวยง และ นักค้นคว้า พอขีดเขียนได้บ้างก็เลยทำบล็อกนี้ขึ้นมาครับ แต่มีหรือเราจะไปต่อกรกับนักเพาะกาย ที่มีตำแหน่งระดับรางวัล และอยู่ในสายอาชีพได้ หากขีดๆ เขียนๆ แต่แนวคิด ที่ผมค้นคว้ามามันก็จะกร่อย จึงได้มองหาหนังสือดีๆ ตามแผงและผมก็เจอเล่มนี้ครับ


      ผมชื่นชมงานของเขามาตั้งแต่ เล่มแรก "หล่อล่ำคุณทำได้" ปกสีขาวๆ ครับ

               



        นับว่าเป็นคนหนุ่มไฟแรงที่สามารถเป็นแบบอย่างในการ เพาะกาย ได้เป็นอย่างดี เล่มแรกก็เน้นเครื่องมือ หรือ Machines, บาร์เบล และอื่น แต่เล่มเหลือง เน้น ดัมบ์เบลล์ ครับ (และทั้งสองเล่มก็เน้นการเพาะกายทุกส่วนของร่างกายครับ) ซึ่งผมชอบมาก เพราะว่าตรงกับแนวคิด ในบทความที่ผมเคยเขียนเอาไว้ว่า ดัมบ์เบลล์ เพียง 2 ลูก กับน้ำหนักที่เหมาะสม  กับการออกกำลังที่ถูกท่า และ วิธี เรามีกล้ามได้เหมือนการเพาะกายอาชีพ

       อยากให้ไปลองหาอ่านกันครับ ผมไปซื้อที่้ร้าน ซีเอ็ด ครับ

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)  

Monday, April 8, 2013

วาบความคิด อาจช่วยชีวิตคนทั้งโลกแม้ในสงคราม

 สวัสดีครับ

     ผมเขียนเรื่องสุขภาพ การเพาะกาย และ การออกกำลังกายมาได้จะ 2 ปีแล้ว พฤษภาคม ศกนี้ ต้นเดือนก็จะครบ 2 ขวบแล้วครับสำหรับบล็อก ของผม วันนี้อยู่ๆ ก็เกิดไอเดียขึ้นมา เพราะดูช่อง True Explore 2 ที่ฉายสารคดีสงครามโลกครั้งที่ 2 คนตายกันเป็นเบือ เลยเกิดไอเดียนี้ขึ้นมาว่า

     กระสุนในทุกรังเพลิงของปืน เราเปลี่ยนจาก กระสุนจริง มาเป็น กระสุนหัวเพ้นท์บอลล์ ได้ไหม พอเกิดสงคราม ก็ยิงกันด้วยเพ้นท์บอลล์นี่ล่ะ แต่อาจจะใช้สารเคมี หรือ อะไรก็ตามที่ทำให้คนที่โดนยิงแค่ สลบไปสักเป็นวัน ไม่ต้องให้ตายกัน แบบนี้ล่ะได้ไหม



         พอมีสงคราม ก็เอาืปืนกระสุนเพ้นท์บอลล์ หรือ กระสุนสารยาสลบ มายิงกันมันก็น่าจะได้นะ ไม่เข้าใจว่าทำไม ต้องยิงกันให้ตายไปข้างหนึ่ง ผมเพี้ยนไหม อาจดูแปลกๆ แต่ทำไมทำสงครามต้องเอากันให้ตาย เคยมีคนฉุกคิดกันไหม?

     หรือแทนที่จะยิงกัน ก็จัดแข่งแบบเกมส์ออนไลน์ ไปเลย เห็นบอกว่า เดี๋ยวนี้คอมพิวเตอร์ทำได้เหมือนจริงแล้วไม่ใช่หรือ ก็ให้ ทหารจำนวนเท่าจริง มาถือปืนรบกันในสนามรบเหมือนจริง ใน Google Map แล้วยิงกันในโลกเสมือนกันดีไหม ร้านค้าผ่านเน็ตก็มีแล้ว ประมูลผ่านเน็ตก็มีแล้ว ขายของผ่านเน็ต ก็มีแล้ว แม้กระทั่งการผ่าัตัด แบบทางไกลก็มีแล้ว ทำไม รบกันแบบเวอร์ชวล เรียลลิตี้จะทำไม่ได้

     ขี้เกียจเขียนต่อ มันวาบความคิดจริงๆ คิดได้ประมาณนี้

 สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)

เบื่อแต่งตัว เบื่อเดินทาง เบื่อๆๆ ไม่ใช่ข้ออ้างสำหรับการเต้นแอโรบิค

สวัสดีครับ

      การออกกำลังกาย หลายๆ ท่านไม่สามารถทำได้ เพราะความน่าเบื่อที่ต้องทุ่มเทบางอย่างลงไป เช่นต้องลุกมาแต่งชุดกีฬา ต้องเดินทางไปสนามกีฬาที่อยู่ำไกลมาก แค่คิดก็เบื่อแล้ว ผมมีทางออกง่ายๆ ให้พวกท่านครับ

     ถ้าเราตื่นขึ้นมาแล้ว ล้างหน้าล้างตา สวมชุดสบายๆ ใส่รองเท้ากีฬาแล้วออกกำลังกายได้เลย คุณว่าดีไหม? ไอเดียของผมคือ การเต้นแอโรบิค ในที่ร่ม ในบ้านนี่ล่ะครับ แต่ขอให้ ทำให้มีอากาศถ่ายเทดีๆ ก่อนครับ ก่อนจะออกกำลังกายแบบนี้ เช่น เปิดแง้มประตูไว้หน่อยให้ลมเข้า (ระวังเรื่องความปลอดภัยด้วยล่ะ) เปิดหน้าต่างทุกบาน ทำยังไงก็ได้ ให้ ลมเข้ามาแล้วมีทางออกครับ

      เมื่อทุกอย่างพร้อม ก็เริ่มเต้นแอโรบิคกันเลย... อ้าว แค่เนี้ย? ไหงบทความคราวนี้มันง่ายๆ พิกล... ยังครับ สิ่งที่เราต้องเตรียมตัวมาก่อนนี้คือ ให้ไปเดินตามห้างนะครับ ร้านหนังสือ น่าจะมีสิ่งนี้้ขายนั่นคือ DVD เต้นแอโรบิค มีหลายสไตล์ครับ ดูจากหน้าปก เลือกแบบที่คุณชอบ ผมแนะำนำให้ลองไปเดินหาที่
ร้านหนังสือ SE-ED ครับ แผนกกีฬาของห้างก็น่าจะมี หรืออาจสั่งซื้อผ่านเน็ต ก็น่าจะได้ เอาเป็นว่าต้องหา DVD แอโรบิค มาให้ได้ครับ




      จากนั้นก่อนจะเต้นก็ให้ลองเปิดดู สัก 20 นาทีว่าครูฝึกเขาเน้น เขาสอนอย่างไร ดูให้เกิดแรงบันดาลใจว่า คนในจอโทรทัศน์น่ะ ไม่ได้แก่กว่าเราเท่าไร แต่เขาคล่องแคล่วได้ขนาดนั้นได้อย่างไร เราล่ะทำได้ไหม แบบนี้ แล้วค่อยเตรียมตัวเพื่อจะเต้นแอโรบิคในเช้าวันรุ่งขึ้น ที่ไหน? ก็ที่บ้าน ที่พักคุณนั่นล่ะ ว้าว ไม่น่าเชื่อเลยนะจอร์จ อยู่บ้านก็ออกกำลังกายได้ เยี่ยมเลยเจน มันเยี่ยมมาก...ว่าเข้านั่น ฮ่ะะะ

       ราคาของแผ่นแอโรบิคอย่างที่ผมซื้อมา ก็ราวๆ 190 บาท แต่อยู่ราวๆ นี้ล่ะครับ เป็นราคาที่ไม่แพงเกินไป แต่ว่าสไตล์ใคร สไตล์มันครับ เลือกที่คุณชอบก็แล้วกัน

                                          คำเตือน: ก่อนการเต้นแอโิรบิคหรือกีฬาใดๆ ต้องวอร์มหรือยืดเส้นประมาณนี้เสมอไป ไม่ทำไม่ได้นะครับ ทำช้าๆ อย่ารีบ



       การเต้นแอโรบิคนั้น วันแรกๆ อย่าได้คิดเต้นตามครูฝึก จนจบแผ่นเด็ดขาดเพราะร่างกายคุณต้องฟิตมาก่อน ไม่งั้นมีเป็นลมแน่ๆ ระวังด้วยนะครับ วันแรกไม่ควรเต้น เกิน 5 นาทีนะครับ ทำไม น้อยจัง ลองเต้นก่อนดีกว่าไหม จำไว้นะครับ 5 นาที คนที่เล่นกีฬามาบ้างก็อย่าเิกิน 10 นาที ปล่อยให้ข้อต่างๆ กล้ามเนื้อ การหายใจที่ต้องปรับใหม่ ได้ปรับตัวสัก 2-3 วันครับ ค่อยๆ เพิ่ม จาก 5 เป็น 10 เพิ่มไปวันละ 5 นาทีครับ แต่คนที่เพิ่งเริ่ม 2-3 วันแรก ควร 5 นาทีไปก่อนครับ

       คุณค่อยๆเพิ่มเวลา ที่ละ 5 นาที ไปจนครบ 30 นาที สิ่งที่คุณได้คือ การเผาผลาญไขมัน ตามที่สอนๆ กันมา ได้สุขภาพที่ดี และความสดชื่นแจ่มใส ชีวิตที่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น สิ่งที่ต้องระวังคือ อย่าเต้นจนจบแผ่นนะครับ หยุดที่ 30-40 นาทีต่อวัันพอแล้วครับ จนเมื่อผ่านไปสัก 1-2 เดือน จึงค่อยๆ ไต่เวลาขึ้นไปเรื่อยๆ ตามความฟิต แต่ยังไงๆ ผมก็คิดว่าเต้น 40-50 นาที ต่อวัน ก็น่าจะพอครับ สัปดาห์ละ 3-4 วัน เท่านี้ ก็ฟิตไม่รู้จะฟิตอย่างไรแล้ว

       ลองคิดดูสิครับ ตื่นเช้ามา เข้าห้องน้ำ (ทำธุระใหญ่นั่นให้เสร็จก่อน) ล้างหน้า ล้างตา สวมชุดสบายๆ ใส่รองเท้ากีฬานุ่มๆ แล้วเอา DVD ใส่เครื่องเล่น เสียงเพลงจังหวะมันส์ เริ่มทำหน้าที่ของมัน เสียงกลอง เสียงเบส กำกับจังหวะทำให้เราคึกคัก ครูฝึกในจอ เต้นนำ เราเต้นตาม อากาศโล่งๆ ลมไหลเข้าออกคล่อง หายใจลึกๆ เต้นตามครูฝึก ออกกำลังกาย ง่ายๆ เป็นแอโรบิคที่สุด เพราะชื่อมันคือ แอโรบิค ทำไ้ดที่บ้าน สักวันละ 30-45 นาที ทำให้ 3-4 วันต่อสัปดาห์ ทำประจำ คุณจะสุขภาพดีเพียงใด


       เริ่มเสียแต่วันนี้ครับ คุณไม่มีข้ออ้างที่จะไม่ออกกำลังกาย อีกต่อไปแล้วนะครับ จริงไหม

สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)

Sunday, April 7, 2013

เปิดตัวร้านหนังสือ เพาะกายและการดูแลสุขภาพ ทั้งชายหญิง แล้วนะครับ

สวัสดีครับ คนรักสุขภาพทุกท่าน

    จากการที่ได้ค้นคว้่า และ อ่านข้อมูลด้านการเพาะกาย ทั้งจากอินเตอร์เน็ต หนังสือ และ นิตยสาร เช่น Flex มาเป็นระยะที่นานพอควร ผมก็ได้นำข้อมูล มาสรุป บวกกับประสบการณ์ของผม เขียนออกมาเป็นบทความให้ แฟนบล็อก ได้อ่านกัน มาโดยตลอด

     อย่างไรก็ตาม ตัวผมคนเดียว ยังไงก็ไม่อาจสู้กับประสบการณ์จริง ของ นักเพาะกายที่ประสบความสำเร็จ กล้ามสวย  มีชื่อเสียงไปได้ ซึ่งคนเหล่านี้คือ คัมภีร์ชีวิต ที่เดินได้ มีตัวตนจริง มีวิธีการฝึก มีโปรแกรมการฝึกที่ได้รับการ ทดสอบมาโดยเฉพาะ ซึ่งที่สำคัญที่สุด คนเหล่านี้ มักจะมีงานเขียนพิมพ์ออกมาเผยแพร่ให้เราได้ซื้อหา มาอ่านและศึกษากัน

     ผมได้ลองค้นหาแหล่งที่มีหนังสือเพาะกาย (น้ำดี) อยู่นานก็ไปพบกับ ก็พบที่ที่ถูกใจ มีหนังสือเป็นร้อยเป็นพันเล่มเกี่ยวกับการเพาะกายให้อ่านกัน ไม่สิ้นสุด หลากหลายในแง่มุม ทำให้ท่านสามารถศึกษาได้อย่างต่อเนื่อง ลงลึกได้อย่างแท้จริง

     ในการนี้ผมจึงได้เปิดเป็นร้านหนังสือเพาะกายขึ้น เพื่อให้ เพื่อนๆ สมาชิก ได้ทดลองมาชมกัน ถ้าชมชอบเล่มไหน สามารถสั่งซื้อได้เลยครับ เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด ซึ่งศาสตร์การเพาะกายนั้น หากจะอ่านอย่างเจาะลึก หนังสือในภาษาไทย ถือว่าน้อย ถึงน้อยที่สุด ส่วนมากเน้นทาฝึก และไม่ลงลึก ส่วนนักเขียน ตามเว็บไซต์หรือบล็อก ก็ค้นหาข้อมูลจาก นิตยสารเป็นหลัก ดังนั้น ความรู้ในการเพาะกายอาจมีข้อจำกัด ผมตั้งใจไว้ว่า ร้านหนังสือแห่งนี้จะผ่านปราการ เรื่องข้อจำกัดนี้ไปได้เป็นอย่างดี

     อย่าลืมมาอุดหนุนร้านหนังสือกันนะครับ ขอบคุณมาก

   


     ท่านที่ไม่มีบัตรเครดิต หรือ บัญชี Paypal หากสนใจจริงๆ อยากซื้อหนังสือดีๆ เกี่ยวกับการเพาะกายแบบต้นฉบับเหล่านี้สักเล่ม อย่าได้ท้อใจ ผมอาสา จัดซื้อให้ครับ โดยเพียง โอนเงินตามมูลค่าและค่าขนส่งจริงมาให้ ผมจะเร่งดำเนินการให้ฟรี ทันที

     ท่านที่มีอุปสรรคเรื่องภาษาก็ไม่มีปัญหา เพียงแจ้งมาโดยโพสต์คอมเม้นต์ไว้ ว่าต้องการหนังสือแนวไหน อย่างไร ผมก็รับค้นหาให้ครับ

      ทุกท่านสามารถ อุดหนุนหนังสือเพาะกาย ที่ผมนำมาเปิดร้านได้ที่  (คลิกที่ชื่อร้านได้เลยครับ)

                         "ร้านหนังสือเพาะกาย โดยบล็อกเพาะกายสไตล์คุณบอลล์"

             Note: กรณีกดเข้าไปที่ร้าน บางครังไม่พบหนังสือแสดงอยู่ให้กด Refresh หน้าเว็บเพจครับ
                       แสดงว่าระบบต้องการนำเสนอหนังสือใหม่ๆ ที่คอลัมน์ด้านซ้ายครับผม

      ฝากร้านหนังสือของผมด้วยครับ

ขอบคุณมาก

คุณบอลล์ :0)