Wednesday, April 17, 2013

ปรัชญาตะวันออก กับ แนวคิดต่อการเพาะกาย ทำได้ไหม?


สวัสดีครับ
_________________________________________________________
หมายเหตุ: อนุญาตให้โรงยิม สถานเพาะกาย ครูฝึก นักเพาะกาย โรงฝึกเพาะกาย 
                 นำบทความนี้ไปใช้ได้ทั่วประเทศเพื่อสร้างสิ่งดีๆ ให้กับวงการเพาะกาย 
----------------------------------------------------------------------------

       ทำไมผมถึงมาเขียนเรื่อง วิธีคิด ปรัชญา แรงบันดาลใจ รวมทั้งเรื่องของการ พัฒนาปรับปรุงตัวเอง ให้พวกเราได้อ่านกัน ทั้งๆ นี่มันบล็อก ทางการ การเพาะกาย ไม่ใช่หรือ?

       ผมเชื่อว่านักเพาะกายและแฟนผู้สนใจ ในบล็อกของผมคงสงสัยกันมาระยะหนึ่ง วันนี้ขอเฉลยครับ ว่า ผมเป็นคนไทยคนหนึ่ง ที่เกิดมากับการ เคารพนบไหว้ ผู้ใหญ่ ศรัทธาใน ชาติ ศาสนา และ สถาบันกษัตริย์ ซึมซับวัฒนธรรม ของการ แสดงมุฑิตาจิต มีจิตปรารถนาดีต่อผู้มีพระคุณ  ยังได้เติบโตมาจากบรรยากาศที่ มีปรัชญาทางศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม และ พราห์ม หล่อเลี้ยงมาตั้งแต่เล็กๆ (แท้จริงแล้ว พวกเราทุกคนก็เหมือนกันนั่นล่ัะครับ เพียงแต่คุณจะได้สังเกตุมันหรือเปล่า)

       ผมจึงค่อยๆ ตกผลึกความคิดว่า คนเราทำอะไร ต้องมีสิ่งยึดเหนี่ยว มีแก่นสาร จึงจะเป็นคนเต็มคนได้ และในแก่นสารที่ว่านั้น ปรัชญา วิธีคิืด คือสิ่ง ที่เราจับมาใช้งานได้ง่ายที่สุด เีพียงคิดได้ ก็เสร็จแล้ว
จริงไหมครับ

        นั่นคือสาเหตุว่า ทำไม ในบทความตั้งแต่ปีแรกๆ ผมเน้นให้ ก่อนเพาะกาย ควรจะ

    1.วอร์ม 2.ยืดเส้น และ 3. ให้ไหว้ครูก่อน เล่น

       ผมกล้าบอกว่า ผมคือบล็อกเกอร์ ด้านเพาะกาย คนแรกของไทย หรือ อาจจะของโลก ที่ระบุ ชัดๆ ไว้เลยในบล็อกว่า ให้ไหว้ครูก่อน เล่นเพาะกาย เพราะ ฝรั่งมันบอกว่า กีฬาเพาะกาย เป็นกีฬาของเทพเจ้า ดังนี้แล้ว จะมาเล่นพร่ำเพรื่อ โดยไม่ระบุ ไม่นับถือไม่ได้ครับ และวัฒนธรรมไทยเรา การไหว้ครู ถือว่า เป็นการแสดงความกตัญญู กตเวที อีกด้วย

        อ้างอิง บทความที่ว่านี้ เชิญอ่าน ผมไหว้ครู ก่อนการเพาะกาย ทำไม?

      ข้อต่อมา ผมอยากวางรากฐานใหม่ ให้กับ การเพาะกายในประเทศไทย ที่จะเป็นผู้นำทางความคิดใหม่ๆ ให้กับกีฬาทั่วโลก เอาง่ายๆ คือมีฝันว่า กีฬาทุกประเภทควรมีการไหว้ครูก่อนเล่นครับผม

      ข้อต่อมา การเพาะกาย ซามูไร คาราเต้ มวยไทย หรืออะไรที่คล้ายๆ กัน เขาจะให้ความสำคัญกับ แนวคิด ปรัชญา ในการต่อสู้ ที่เน้นไปในทางสันติ สร้างสันติภาพ สร้างตัวตน สร้างการรู้จักตัวเอง มีวิธีคิด เป็นขั้นเป็นตอน อาจารย์ นอกจากจะสอนการต่อสู้ ยังสอนเรื่อง การครองตน การมีความอดทน อดกลั้น และคุณธรรมอื่นๆ ให้ลูกศิษย์

      ฝรั่งหรือคนจากภูมิภาคไกลจากเอเชียใต้ เอเชียตะวันออก จะชื่นชมแนวคิดดังกล่าวมาก เราจึงเห็นคนต่างชาติ หน้าแปลกๆ มาฝึกวิชา มวยไทย คาราเต้ ยูโด กันมากในภูมิภาคนี้ เขาไม่ได้มาหัดแ่ค่การเตะต่อย แต่เขามาซึมซับ ภูมิปัญญาทั้งหมดของเราต่างหาก หนึ่งในนั้นคือ ปรัชญาของตัววิชาครับ

      คำถามของผมคือ เป็นไปได้ไหม ที่เรา จะค่อยๆ สร้างปรัชญาการเพาะกาย แบบไทยๆ ขึ้น จนเราสามารถ สร้าง การเพาะกาย แบบ สยาม สไตล์ ขึ้นมาได้ อาจจะเรียกว่า Thai Bodybuilding - Siam Style 
อะไรประมาณนี้ แนวคิดนี้ ผมไม่หวงนะครับ ให้มีกำลัง ทำได้ทำไปก่อนเลย ผมว่าหากเราสร้างองค์ความรู้ใหม่ตรงนี้ได้ มันจะนำสิ่งๆ ดีๆ มาสู่ชื่อเสียงของประเทศเรา ครับ

     เอาล่ะ สำหรับคนตัวเล็กๆ อย่างผม ก็ขอเขียนไปเรื่อยๆ สร้างแนวคิด ใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ เพื่อให้เรามีแนวคิดร่วมกัน ในฐานะนักเพาะกายครับ เอ้าเข้าเรื่องกันดีกว่า

     ขอตอบหัวข้อบทความก่อน    ตอบว่า ทำได้ครับ   วันนี้ เอาปรัชญาทางพุทธ ผ่านศีล 5 มาใช้กันเลย รับรองสอดรับกับการเพาะกายได้อย่างแนบสนิทครับผม

 ศีล 5 กับการเำพาะกาย

1. ไม่เบียดเบียนสัตว์

     เราสามารถมองได้ในแง่การฝึกเพาะกาย ต่อตัวเรา เช่น ไม่เบียดเบียนตนเอง โดยการฝึกหนักเกินไป ใช้น้ำหนัก อย่างไร้ความคิด ต่อผู้อื่น เช่น การแบ่งกันใช้ สำหรับอุปกรณ์ต่างๆ สำหรับผู้ให้บริการ ก็ต้องมีราคา ที่ยุติธรรม อุปกรณ์สะอาดมาก เพื่อไม่ให้นักเพาะกายต้องติดเชื้อ เป็นต้น
     หากมองในด้านมารยาท ก็ไม่ควรยกตนข่มท่าน ว่าตนกล้ามใหญ่ ซิกแพ็ค สวยเหลืั้อเกิน ดังนั้นวิธีการฝึกของตัวเองถูกต้องที่สุด อย่างนั้น อย่างนี้ เราเองฟังแล้วก็อย่าเบียดเีีบียนความคิดตัวเอง เชื่อเขาทันที ต้องรูจัก ค้นคว้าเองด้วย จงสร้างบรรยากาศของมิตรภาพ ของคนในวงการเดียวกัน ไว้เสมอ
   
      หากมองในแง่การครองตน เมื่อเรามีกำลังมากกว่าคนธรรมดา ก็อย่าได้ใช้กำลังข่มเหงคนอื่น หากใช้เพื่อปกป้องคนที่เรารัก ปกป้องคนดี มีเรื่องต้องหยิบจับ ก็อาสา โดยกำลังแรงของเรามีมากกว่า อย่านั่งเฉยๆ เลี้ยงกล้าม แต่ไม่ชอบออกแรง เป็นต้น

      หากมองในแง่การสงเคราะห์ ก็ควรแนะนำ ผู้ที่มีโอกาส ผู้ที่สุขภาพไม่ค่อยดี ให้ลองปรึกษาหมอ แล้วลองมาเพาะกายด้วยกัน เพื่อช่วยกันสร้างสุขภาพที่ดี ไม่รู้เรื่องใด ไม่แนะนำเรื่องนั้น แต่สอบถามผู้รู้ในวงการเพาะกาย ค่อยแนะนำผู้อื่น เป็นต้น
 

2. ไม่ลักทรัพย์

      อันแรกเลย ในฐานะคนเขียนบล็อก อย่าได้เอาแนวคิดใครเขาไปเขียนต่อ โดยไม่มีการอ้างอิง และไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง คือ Copy ไปทั้งดุ้น ควรมีการทำ ลิงค์ กลับมายังไซต์ต้นฉบับด้วย

      การเพาะกาย อาจมีการหยิบยืมหนังสือ ข้อมูลกัน ก็อย่าให้ต้องตามทวง ควรมีมารยาท คืนเขาตามที่นัดไว้ ของยืมไม่คืน คือ การขโมย อย่าได้คิดแต่ไปใช้อุปกรณ์ของเพื่อน บ่อยๆ เข้า ก็ไม่ต่างอะไรกับการไปลักเวลา การใช้งานของเขา ไปลักเวลาอายุการใช้งานของเขา

      การลอกท่าฝึกถือเป็นครูพักลักจำ มันคือ การลักทรัพย์แบบหนึ่ง จะดีกว่าไหม เข้าไปทักทายพูดคุย ขอให้เขาสอนดีๆ ได้เพื่อน ได้ครู ได้ออกกำลังถูกวิธี

      ใช้เวลาในอุปกรณ์ หรือ เครื่องออกกำลังกาย แต่พอดี อย่าจองถนน อยูคนเดียว ควรออกแบบโปรแกรมการฝึก ที่ดี แล้วยังต้อง แคร์ ใจนักเพาะกายคนอื่น ที่มายืนรอแล้วรออีก อีกด้วย

      เห็นครูคนไหนแนะนำใครอยู่ อย่าเข้าไปขัดคอ เขา เรียกว่า ลักเอาความเคารพ คืออยากให้คนที่ถูกสอนมานับถือตน แบบนี้เรียกว่า ยังไม่โต รอให้เขาสอนก่อน แล้วค่อย ไปแนะนำแนวทางของตน ที่บริเวณอื่นๆ


3.ไม่ประพฤติผิดในกาม

      ในโรงฝึกต้องให้เกีีียรติ เำำพศตรงข้าม หรือ กระทั่ง เพศเดียวกัน ต้องแยกแยะให้ออก ว่า การฝึกจะต้องละเว้นเรื่อง กามารมณ์

    ต้องระมัดระวังเมื่อเห็นใครมาฝึกเป็นคู่ ก็อย่าไปอวดดี แทรกแซง แนะนำโน่นนี่ โดยไม่สนใจอีกคน เอาใจเขามาใส่ใจเรา ทักทายพองาม ไม่พูดมาก ปล่อยให้คู่เขาดูแลกันเอง หากมีการแนะนำ ก็ต้องทำสำหรับทั้งสองคน อย่าได้ ไปแยกคู่เขา ไม่ใกล้ชิดเกินไป ต้องรักษาระยะห่างให้ได้ จะได้รับการเคารพนับถือจากคนในวงการ

    นอกโรงฝึกไม่ถือเอารูปร่างอันงดงาม กล้าแกร่ง จากการเพาะกาย เป็นเครื่องมือในการ สร้างสัมพันธ์ที่ผิด กับ ลูกเขา เมียใคร มีความรับผิดชอบ ไม่เป็นพวกเจ้าชู้ัยักษ์ (จีบและลวนลาม) เจ้าชู้ไก่แจ้(จีบดะ)
ง่ายๆ คือ กูมีเกีียรติ กูมีอาจารย์ ก็ไม่ทำ พอครับ

4. ไม่พูดเท็จ

    สิ่งไหนไม่รู้ บอกไม่รู้ แนะนำ ให้ถามคนที่รู้จริง เมื่อบอกสอนท่าเพาะกาย จงตั้งใจแนะนำให้ครบถ้วน อย่าได้อำความ อย่าได้จินตนาการคิดเอาเอง ว่า ทำท่านี้ ได้อย่างนั้น ผลลัพธ์อย่างนี้ หากไม่รู้จริงๆ แนะนำสิ่งใดผิด ให้รีบแก้ไข อย่าได้ละอาย เพราะการแนะนำผิด อาจสร้างอันตรายกับผู้ฝึก

    ไม่อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง และอะไรอื่นๆ ทีพูดออกไปแล้วไม่ดี อย่าพูด

5. ละ้เว้นจากสิ่งมึนเมา

    ไม่ใช่แค่การงดดื่มสุรา ยาเมา บุหรี่ นักเพาะกายห้าม พวกนี้เด็ดขาดนะครับ แต่ยังเป็นเรื่องของ การฝึกแบบไม่บันยะบันยัง เล่นกล้ามหัวทิ่มทีเป็นชั่วโมง มีเว็บดีๆ บอกไว้แล้วว่า หัดเพียงวันละ 30 นาท ก็มีกล้ามสวยเป็นแชมป์ได้ แต่เรากลับเล่นทีละ ชั่วโมง 2 ชั่วโมง มันเกินความจำเป็นครับ อะไรที่ทำแล้วหยุดไม่ได้ ซึมกับมันนานๆ ก็คือ ความมัวเมา เ่ช่นกัน

     อีกอย่างที่คาดไม่ถึงคือ การค้นหาข้อมูลทุกวัน วันละนานๆ เรื่องเพาะกาย อ่านมันทั้งปี ไม่มีพัก แบบนี้ก็มัวเมาครับ ถามว่า หนักหัวใครไหม ไม่ครับ แต่หนัก เรื่องพลังชีวิตคุณน่ะ ผมเคยเล่าไว้ มีหมอเทพของจีน รักษาหายทุกโรค แต่ตัวเอง ตายแค่ 40 กว่า เพราะ มียาวิเศษ แต่ พลังชีวิต หรือ ชี่ ไม่เหลือแล้ว ก็ต้องตายครับ ตำนานเล่าว่า ท่านเล่นหมากรุกจีน ค่ำๆ ยันสว่างแทบทุกวัน ผมถามว่า ท่านที่มัวเมาเล่นเว็บ จะอะไรก็ตาม นอนไม่เป็นเวลา ท่านจะอายุยืนกว่าหมอ ท่านนี้ ผู้ซึ่งรู้จักการรักษาและดูแลตัวเองเลิศกว่าใครในโลกไหม?

 
ครับนี่เป็นแนวคิดของผม พบกันในบทความต่อไป :0)

คุณบอลล์ :0)

No comments:

Post a Comment