Monday, June 13, 2011

ความมีวินัยในการฝึก คือการไม่มีข้ออ้าง แต่มีสติปัญญา และเหตุผล

 สวัสดีคนรักสุขภาพทุกท่าน

     ต้องขอแจ้งแฟนนักอ่านบทความของผม ว่า ระยะนี้อาจจะมีบทความเชิง กำลังใจ ในการเพาะกายมากสักหน่อย เพื่อเป็นการปูพื้นให้คนอ่านในอนาคตได้มีเรื่องราวกำลังใจ อ่านกันมากๆ ใช้ในการผ่านความยากลำบากในการฝึกครับ
เพราะผมก็เพิ่งเริ่มเขียนบทความในบล็อคแห่งนี้ได้ไม่นาน

     วันนี้ขอกล่าวถึงวินัยในการเพาะกายครับ การมีวินัยนั้นต้องบอกเลยว่า สำหรับคนที่ไม่คิดมาก คิดแล้วทำเลย ไม่เจ้าเล่ห์
กลับมีวินัยง่ายกว่า คนที่ฉลาด เจ้าเล่ห์ และเป็นนักคิด ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะว่า คุณจะหาข้ออ้างได้เร็ว ได้ไว จนไม่น่าเชื่อ
ขณะที่คนอีกแบบ จะคิดแล้วทำเลย ทำไปเรื่อยๆ ทำเหมือนมันเป็นงานประจำ เหมือนเราต้องหายใจเอาอากาศเข้าปอด จึงมี
วินัยกันได้ไม่ยาก
 
     คนที่ไม่เคยคิดจะทำอะไร ไม่ต้องวิตกเรื่องมีวินัย เพราะคุณคือคนโดยเฉลี่ย หมายถึงเป็นปุถุชนธรรมดาๆ มีชีวิต นอนหลับ ตื่นนอน
มีความสุขพอประมาณเท่านั้นก็พอแล้ว แต่หากคุณต้องการขึ้นไปสูงกว่านั้น และมันไม่ใช่เรื่องผิด ที่จะต้องการความเจริญก้าวหน้า คุณต้อง
ทำอะไรได้ดีกว่า คนแบบถัวเฉลี่ย คุณต้องเป็น Someone ไม่ใช่ Nobody จำไว้นะครับ

     การที่ผมมาเพาะกาย เพราะผมมองเห็นแต่ความพร้อมและสิ่งที่จะดีมากขึ้นในตัวของผมทั้งนั้น จะเรียกว่าโชคดีกว่าคนอื่นในเรื่องการเพาะกาย
ก็ไม่น่าจะใช่เพราะว่า ในการเพาะกายทุกคนสามารถมีแง่มุมโชคดีได้แตกต่างกันครับ

      ผมเริ่มเพาะกายเล่นกล้ามครั้งแรกนั้น ไม่ใช่มาจากความต้องการมีกล้าม เพราะตอนมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผมเล่นสปริงยืด ที่คุณพ่อซื้อมาสนุกๆ ก็มีกล้าม
ที่ไหล่สวยมาก และพอปิดภาคฤดูร้อนก็ไปว่ายน้ำ และไปบ่อยๆ ประกอบกับเป็นช่วงร่างกายกำลังโต ทำให้ผมซึ่งสูงราวๆ 174 ซม. มีไหล่กว้าง สง่าผ่าเผยกว่าคนทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด ก็แปลกใจดี เล่นๆ นะครับ กลับมีทรงกล้ามสวยๆ น้องชายยังบอกเลย แต่ผมเป็นคนกินเก่ง ชอบนอนดูโทรทัศน์
ไม่ชอบไปไหน เป็นคนที่ชอบอะไรแล้วทำยาวครับ ฮ่ะๆๆ จนน้ำหนักพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ จากคนร่างใหญ่ก็กลายเป็นคนอ้วน จนเมื่อมาเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง ก็กินๆๆ และ กิน ฮา จนอ้วนเพิ่มขึ้น น้ำหนักเป็น 120 กิโลกรัม จากที่เป็นคนร่างใหญ่อยู่ก่อน ยังมี
น้องๆ ชาย และ หญิงบอกว่า พี่แบบนี้ดีแล้ว ภูมิฐานดี ว่าเข้านั่น จนในที่สุดพอจบมา ผมก็ทำน้ำหนักขึ้นไปอีก เป็น 127 กิโลกรัม เข่าเริ่มปวดหายๆ เป็นระยะๆ ตลอดมา น้องชายซึ่งไม่ได้พบกันปีกว่า ต่างคนต่างทำงาน พอมาเจอผม อุทานว่า เฮ้ยทำไมอ้วนอย่างนี่ อ่ะ ผมตกใจ เราอ้วนจนน้องต๊กกะใจเลยหรือ ทำไมเรายังรู้สึกว่าเราไม่อ้วนกว่าเดิม นี่ล่ะครับ ผมเรียกว่าอาการเมาแป้ง แป้งข้าว แป้งขนม ที่อัดเข้าไปวันแล้ววันเล่า
ขนาดของเรามันหลอกตาครับ มันค่อยๆ ใหญ่ขึ้นๆ เราเลยไม่เห็นความแตกต่างจากสายตา แต่ เข่าของเรามันฟ้อง เจ็บโว้ยๆ น้ำหนักมากมันเจ็บ
 
   พอน้องชายทักแบบนี้นับแต่นั้นมาผมเชื่อแล้วว่าเราอ้วนใหญ่มาก ผมพบอีกอย่างว่า ผมวิ่งไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เดินได้ แต่วิ่งไม่ได้ เพราะรู้ตัวว่าเข่ารับน้ำหนักไม่ไหว เดินเร็วๆ ยังมีหอบเลยครับ ต่อมาผมต้องหาแผ่นซีดีเต้นแอโรบิคมาเปิดเต้นตาม วันแรก เกือบตาย 5 นาที ตาลายครับ
ผมกลัวมาก หากปล่อยไว้แบบนี้ต่อไปได้ ตายจริงๆ ความอ้วนไม่ได้ทำให้คนตายครับ ผมเชื่อแบบนั้น และผมไม่เชื่อว่า ความอ้วนเป็นโรค ผมเกลียดคำนี้ที่สุด เพราะเมื่อก่อนคนอ้วนอยู่กันปกติสุขดี แต่พอคนบอกว่า ความอ้วนเป็นโรค คนอ้วนกลายเป็น ไอ้หมูตอนสกปรกไปหมด ซึ่งไม่ถูกต้อง
เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนมากที่สุดเรื่องหนึ่ง เท่าที่ผมเคยได้ยินมา ไอ้บ้า ซานตาครอส ผอมไหม คนอ้วนอายุมากกว่า 60 ปี ก็มีถมไปครับ เพียงแต่ฟังก่อนครับ อ้วนแล้วไม่รักษาสุขภาพน่ะไม่ดีแน่ๆ ยังกินเหล้า เมายา สูบบุหรี่ ไอ้แบบนี้สิ หมูตอนสกปรกตัวจริงครับ

  หากเราอ้วนแต่เราต่อสู้ ออกกำลังกายเป็นระยะ เล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดี ให้ได้ขยับ อย่าให้มี 3 เดือนติดต่อกันไม่ได้ ออกกำลังกายแบบนี้ ตายแน่ครับ แต่หากมีการขยับ ทำตามที่เราทำได้ งดเหล้า งดบุหรี่ ถือศีล 5 เข้าไปด้วย อ้วนๆ ก็อายุยืนกว่าไอ้พวก ฟิตเนส ได้สบาย ที่ยัง กินเหล้า สูบบุหรี่ แน่จริง
มาแข่งกันไหม อย่าลืมนะครับว่า ที่เขาบอก ต้องมีน้ำหนักส่วนสูง เท่านั้นเท่านี้ คือไม่อ้วน ไร้โรค ต้องออกกำลังกาย วันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 4 วัน
แล้วสุขภาพแข็งแรง นี่ คือ สำหรับคน ที่เขาคิดว่า ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่นะครับ ต่อให้คุณทำได้ครบ แต่กินเหล้า ไม่เชื่อไปตรวจสุขภาพ ค่าตับ ต้องมีการเรียกไปคุยทั้งนั้น ผมเห็นมากับตาครับ หากยังสูบบุหรี่อยู่ มันต้องฟ้องที่ปอดล่ะ ดังนั้น อย่าได้ทนงว่า เราไม่อ้วน แต่คุณ ทำร้ายตัวเองมากกว่าคนอ้วนเสียอีก ว่าไหม ดังนั้นการมีอายุยืน สำหรับผมต้องประกอบด้วย

    1. การออกกำลังกาย อย่าไปสนว่าคุณ รูปร่างอย่างไร อ้วน ผอม ให้ออกกำลังกาย
    2. มีศีลธรรมในใจ ไม่ โลภ โกรธ หลงมากเกินไป หรือ บ่อยๆ ตัวโกรธ นี่น่ากลัว ลองถามหมอดูว่าทำไม
    3. มีจิตใจกว้างขวาง ดั่งมหาสมุทร คือเป็นคน มีจิตสุข ให้อภัย

  ทำ 3 ข้อนี้ ผมว่าพวกเราน่าจะมีอายุยืนกันทุกคน

    หลังจากนั้นผมลองมาหมด เช่น การเต้นแอโรบิค ที่ต่อมาเต้นได้ 40 นาทีต่อเนื่อง มาเป็นการวิ่ง แต่ปวดเข่า เคยฟังวิทยุ ที่เขาพบว่า การเดินออกกำลังกายในเวลาเท่าๆ กัน เร็วๆ ก็ได้ผลพอๆ กับการวิ่งในเวลาที่เท่าๆ กัน ไม่เจ็บเข่า ก็เดิน ต่อเนื่องยาว 4 เดือนจนเอวลดไป 4-5 นิ้ว
ต่อมาก็ว่ายน้ำ มาเล่นเหวตอยู่ครึ่งปีแต่เลิก เพราะตอนนั้นเล่นเป็นแต่ช่วงบน กลัวโตแต่ด้านบน ต่อมาก็ เดินๆๆๆ รำมวยจีน เรื่อยเปื่อย จน
มาหลังสุด เดินออกกำลังกายติดกัน 2 เดือน เดือนที่ 2 หลงตัวเอง ว่าฟิตมาก เดินมัน 5-6 วันเลย เสร็จครับ เกิดอาการปวดกล้ามทั้งตัว รักษาตัว 10 วัน
เข็ดเลย เพราะไม่พักบ้าง ขยาดการออกกำลังกายไปราวๆ 10 เดือน เพราะว่าตอนที่เป็นปวดมากๆ

    จนมาปีนี้ พ.ศ. 2554 ด้วยแม้ตัวเองจะอ้วน แต่ชอบออกกำลังกาย ต้องขอบคุณ คุณพ่อที่เป็นนักออกกำลังกาย นักกีฬาตัวยง คุณแม่ที่ให้กำลังใจ และน้องชาย ที่ดูแลตัวเองดี เป็นแรงบันดาลใจ และนักแบตมินตันที่มีความสามารถ ทำให้ผมอยู่ในบรรยากาศ ครอบครัวเป็นกำลังใจให้เราออกกำลังกายเสมอๆ ทำให้ผมเริ่มสนใจว่าจะลดความอ้วนได้ยังไง การลดของผม ผมการันตีได้ว่า ไม่ได้ต้องการให้ผอมจริงๆ เพราะผมมีความสุขกับร่างกายแบบนี้ ร่างกายที่ไม่ผอมแต่มีความหนา มันดูแมนดีครับ

    และแล้ววันที่เริ่มเปลี่ยนชีวิตก็มาถึงเมื่อผมลองเปิดอินเตอร์เน็ตดู ว่ามีคนอ้วนที่ลดน้ำหนักได้จริงที่ไหนบ้าง แล้วผมก็พบครับ เว็บไซต์แห่งนี้ ไปดูกันได้
สร้างแรงบันดาลใจได้สุดๆ จริงๆ เพราะหลายคนมากๆ ที่อ้วนกว่าผม เขาส่วนใหญ่ใช้เวลาราวๆ 1 ปี - 1 ปีครึ่ง ก็เปลี่ยนเป็นคนใหม่ได้ บางคนมีแรงใจคืออยากมีแฟน เอาเถอะขอให้สุขภาพดีเป็นพอครับ ไปดูที่เว็บได้เลย http://www.shapefit.com/success-stories.html
หากต้องการอ่านมากๆ ก็ค้น google.com ด้วยคำว่า  Loss weight + Success Story ครับ ใครที่อ่านแล้วไม่เกิดแรงบันดาลใจนี่ ใจแข็งไปล่ะครับ :0)

   พอดูเว็บที่ว่าก็เกิดไฟครับ ผมรู้วิธีปลุกใจตัวเอง เลยต้องหาเว็บแบบนี้ดูครับ ผมก็ไม่รอช้าเช้าวันต่อมาก็ไปออกกำลัง ที่ยิมของที่พัก สายตามองหาอุปกรณ์แอโรบิคก็ไม่ผิดหวัง มีสายพานให้เดิน ตั้ง 2 ตัวแถมของแพงอีกต่างหาก วัดชีพจร มีโปรแกรมฝึกอย่างดี ปรับระดับความชันได้
ฮา ซื้อมาแล้วมันจะได้ใช้จริงๆ หรือ แพงเพราะไอ้พวกนี้ล่ะ ผมคิด กว่าจะเปิดเครื่องกดปุ่มให้มันทำงาน งงอยู่นาน ก็เดินกระจุยครับ ปรับความเร็วเสีย
เร็วเลย ตามประสาคนมาวันแรก เพียง 10 นาที หยุด ลงมา มีอาการวิงเวียน คล้ายจะเป็นลม เข้าใจเลย คนขาดการออกกำลังกายมันเป็นแบบนี้นี่เอง
ดังนั้น หากมองตามแนวทางธรรมชาติแล้ว สาวๆ เขารับรู้ได้นะครับ จากกลุ่มฮอร์โมนของคนแข็งแรงกับคนอ่อนแอ ว่าใครที่เขาควรเลือก เขาไม่ผิดนะครับ
เพราะหากเป็นแบบผมก่อนนั้น เดินลู่วิ่งเพียง 10 นาที ลงมาแล้ววิงเวียน นี่เอาไปทำพันธุ์มันคงไม่ดีแน่ๆ ใช่ไหมครับ

    จากนั้นก็เริ่มแข่งแรงจนออกกำลังกายเดินบนลู่ได้ได้ 30 นาทีเหมือนตอนหนุ่มๆ แล้วก็เริ่มหันมาลอง เล่นกล้ามก็ทำได้ครับ ผมซื้อหนังสือ 2 เล่มอ่านหาความรู้ การเพาะกายนั้น ต้องรู้ท่าฝึกให้หลากหลาย เพราะจะดีกลับกล้ามเนื้อ และต้องทำให้ถูกท่าด้วย จะได้ไม่บาดเจ็บด้วยครับ

     ผมออกกำลังกายแบบ 3 วันพัก 1 วัน การนับวงรอบว่าออกกี่วัน แสดงให้เห็นว่า วันที่ออกกำลังกายครบจำนวนวันต้องออกให้ครบ ทั้งตัวนะครับ คือ
อก หลัง ไหล่ แขนหน้า แขนหลัง ท้อง ขา น่อง เป็นต้น นะครับ ในการเพาะกาย นักเพาะกายระดับแชมป์ หลายท่าน ไม่ออกคอ และ ท้อง เพราะปกติแล้ว กล้ามเนื้อย่อมพอกพูนตามขึ้นมาอยู่แล้วขณะที่เราออกกำลังกายท่าอื่น จะเห็นว่า ท้องต้องพยุงตัวเราและสันหลังครับ ขณะที่ คอเวลาเล่นไหล่แขนมันพากล้ามมาอยู่แล้ว เว้นแต่ว่าต้องการให้คม เพื่อแข่งก็ค่อยว่ากัน เรื่องท้องนี่ คลาสสิคครับ เมื่อก่อนบอกว่า Sit up ทำแล้วไม่เวิร์คเท่า Crunch ซึ่งเป็นท่าของการเพาะกายโดยตรง ตอนนี้ เดือนมิถุนายน 2011 หมาดๆ นิตยสาร Muscle & Fitness บอกว่า
ทำพวก Prank จะดีกว่า หรือ Stabilization Trainning จะเห็นผลกว่าครับ เอาเข้าไป

     ดังนั้น ที่ผมออกกำลังเพาะกายในระบบ 3 พัก 1 ย่อมเข้มงวด และ เข้มข้นกว่า แบบอื่นๆ ครับ ทีสำคัญผมเล่นช่วงเช้าครบหมดครับ ไม่แบ่งเป็นเช้าบ่าย มือใหม่อาจจะหนักไป ลองกระจายไปเป็น 4-5 วันได้จะดีในตอนแรก สำหรับโปรแกรมฝึกของผมมีดังนี้

  "วันแรก"  อก,แขนด้านหน้า หรือ ไบเซ็บ ตามด้วย ขาออกกำลังแบบเบาๆ แต่ทำให้ได้ 120 ครั้งในท่า Leg Press ที่ยังไม่ใช่ของแท้ เพราะเป็นตัวออกกำลังที่ขา ที่ติดมากับ เคเบิ้ล เพรสครับ ก็ต้องอาศัยออกหลายๆ มุม ทำทั้ง 2 ข้าง และทีละข้าง ครับ

  "วันที่สอง" ไหล่,แขนด้านหลัง ท้องท่า Crunch 140 ครั้ง ท่า Twist อีก 60 ครั้ง เดินบนลู่ 15-20 นาที

 "วันที่สาม" หลังบนและล่าง น่อง ตามด้วย ขาออกแบบหนักเพิ่มน้ำหนัก 120 ครั้ง และ ทีละข้างอีก 30 ครั้ง

 "วันที่สี่"   พัก ไม่เพาะกายเด็ดขาด แต่เดินบนลู่ 30 นาที

   ข้างต้นเรียกว่า การฝึกแบบ 3 พัก 1 หรือ 3 Days On, 1 Day Off ครับ แม้ผมจะมีความเข้มข้นในการฝึก แต่ผม กลับอยู่ในกลุ่มนักเพาะกายสาย เทพอาร์โนลด์ เพราะว่า ผมเน้นจำนวน Rep หรือ ครั้ง มากๆ ใน 1 เซ็ท ครับ ไม่ได้เน้น
น้ำหนักมากๆ ยกเพียงครั้งเดียวหรือ 6-8 ครั้ง แบบสาย ไมค์ เมนเซอร์ อาจเรียกว่า เป็นพวกผสมผสานก็ได้

   แต่ผมมา ่เน้นการใช้เทคนิคต่างๆ เช่นซุปเปอร์เซ็ท, ปิรามิด, การใช้ Negative และอื่นๆ เพิ่มเข้ามา ซึ่งสายกลางและสายหนักเขาก็ใช้กัน เป็นของกลาง เป็นภูมิปัญญาที่สั่งสมกันมา และสอนๆ ต่อๆ กันมาครับ ผมถึงคิดว่า ก่อนเพาะกายต้องมีการไหว้ครูครับ เพราะมันเป็นมีองค์ความรู้ ที่ผู้ฝึกต้องลองผิดลองถูก แลกมาด้วยหยาดเหงื่อและแรงกาย และอะไรอีกมากมาย จนพิสูจน์แล้วได้ผล จากนั้นจึงมีการถ่ายทอดผ่านมาเป็นรุ่นๆ ไป
ยังไงต้องมี ไหว้ครูก่อนฝึกครับ ผมอาจจะเป็นคนแรกในประเทศไทย หรือในโลกที่ทำแบบนี้เสมอมาครับ

    เมื่อความรู้เริ่มมี ท่าฝึกมี การฝึกให้ถูกต้องรู้แล้ว ทีนี้ก็เริ่มลงมือกัน แต่ตอนไปฝึกยากกว่าการฝึก เพราะ ต้องมีสิ่งเหล่านี้

  1.กินถูกต้อง ตามเวลา
  2.ใจต้องมั่นคง มีวินัย
  3.รู้ผ่อนหนักเบา

  คนที่เริ่มต้นเอา 3 ข้อนี้ให้ได้ก่อน ลำพังเท่านี้ก็ยากแล้วครับ ทำไมน่ะหรือ

ข้อแรก กินถูกต้อง ตำราท่านว่าไว้ หากฝึกหนัก ถูกต้อง แต่กินไม่ถึง ไม่มีทางสร้างกล้ามเนื้อได้ดีที่สุด ผมไม่เชื่อเท่าไร แต่อ่านไปๆ ฝรั่งมันว่า
         การกินสำคัญต่อการเพาะกายถึง 80 % ของการฝึกเชียวนะครับ การเพาะกายสำคัญ 20 % เท่านั้น ดังนั้นจงหาข้อมูลการกินให้มากๆ
         วัดแครอลี่ได้ก็วัด วัดไม่ได้หาเทียบจากตารางเอา เอาให้ใกล้เคียงกับตำราจะดีที่สุด ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย สำหรับคนฐานะปานกลาง ไข่
         คืออาหารโปรตีนที่ดีที่สุดแล้วครับ แต่เน้นกินไข่ขาว ครับไข่แดงเก็บไว้ให้แม่บ้าน ทำอาหารไป เอ้าลองไปค้นคว้ากัน  ฝรั่งบอกข้าวโอ๊ด เรา
ไม่สะดวก เอาพวก ข้าวซ้อมมือดีไหม ฝรั่งว่าต้องแคลเซียม แต่เรากินนมไม่ได้ เอ้า ปลากรอบตัวเล็กๆ ได้ไหม คือเอาให้ใกล้เคียง แต่ประยุกต์อาหาร
ใกล้บ้านใกล้มือครับ ฝรั่งเขามีแท่งโปรตีน เราเอาเต้าหู้แห้งได้ไหม (เห็นมีที่ Fresh Mart the Mall ครับ) เขาผูกเป็นอันเล็กๆ ราวๆ 1.5 นิ้ว
มันโปรตีนเหมือนกัน คือจะเอาจริงมันต้องทำได้ หาได้ เท่านั้นครับ ข้อแนะนำ ควรกินวันละ 6 มื้อ และเน้นโปรตีน จากเนื้อสัตว์เล็กๆ หรือ ถั่วเหลือง
พวกแป้งไม่ขาดแต่ไม่เยอะเกินไป ลดไขมัน แต่ต้องมีไขมัน  น้ำห้ามขาด ผักผลไม้ ต้องกินครับ

ข้อที่สอง ใจต้องมั่นคง มีวินัย คือการจะสร้างบ้านใหญ่ ต้องมีฐานรากเสาเข็ม เมื่อเอาเงินเก็บมาลงทุนสร้างบ้านแล้ว จะเหลาะแหละไม่ได้หยุดก็ไม่ได้ จะได้แต่กองอิฐทราย ไร้ความสวยงาม หาประโยชน์ไม่ได้ เหมือนกัน คุณมีความรู้ มีท่าฝึก มีอุปกรณ์ รู้วิธีกินอาหาร การพักผ่อน แต่คุณไม่ลงมือเล่น
อย่างมีระบบ ตามวันเวลา เช่นของผม เล่น 3 พัก 1 คุณกลับ เล่น 2 พัก 3 แบบนี้ เมื่อไรจะมีกล้าม มีสุขภาพดี คุณจะเปลี่ยนตัวเองไม่ได้เลย เหมือน
บ้านที่สร้างไม่เสร็จ นี่คือความยาก จึงไม่แปลกที่จะมีสักกี่คนที่มีบ้านหลังใหญ่สวยงามได้ในชีวิตหนึ่ง มีน้อยครับ เพราะมันแพง มันยาก เช่นกัน ร่างกาย
สมชายชาตรี หรือคุณผู้หญิงก็สมหญิง จะมีไม่ได้เลย หากคุณไม่ลงแรง มีวินัย มีการปรับปรุงพัฒนา คุณจะทำไม่ได้ หากคุณไม่มีวินัย ยกตัวอย่างของผม

             วันฝนตก อยากนอนต่อตลอดทั้งเช้า ผมไม่สนลุกมากินอาหารก่อนเพาะกาย รอ 30 นาทีแล้วไปฝึก ฝึกจบราวๆ 1 ชั่วโมง เงยหน้ามาอีกทีฝนหยุดไปแล้ว ฝนจากไป แต่ผมคนที่มีวินัยยังอยู่ เท่ไหมครับ

              วันที่เจ็บกล้ามเนื้อมากๆ น่ากลัวฝึกต่อจะบาดเจ็บ ผมหยุด รักษาตัวให้หาย ให้ทุเลา นี่ก็มีวินัย คือรู้จักคิดเอง พอเริ่มหายก็รีบฝึก จนครบเป็น 3 วัน จึงนับว่าจบ 1 คาบการฝึก ไม่มีโดดข้าม ไม่นับ ไม่มีครับ

              วันที่ต้องมีงานทำข้างนอก รู้ว่าจะเหนื่อย อาการออก แต่ก็ฝึก ใครถามผมบอกว่าผมเล่นกล้าม ใครจะมาว่า

              วันที่เริ่มอยากพัก มากกว่า 1 วันผมก็คิดว่า หากเริ่มทำแบบนี้ ต่อไปจะมี พัก 3 พัก 4 วัน แล้วมันจะเลิกไปเลย ไม่เอา ชายสมชาย ไม่โกหกตัวเอง ตั้งใจแล้ว กูจะทำให้ได้

       อะไรแบบนี้เป็นต้น อย่างไรก็ตามในการฝึกเขาจะมีเรื่อง มีแนวทางในการ ชักชวนร่างกายและจิตใจให้ฝึกต่อไป มากมายเช่น ทุกๆ 1 เดือนมีวันพัก สัก 3 วันแถม ประมาณนั้น แต่ไม่มากกว่านั้น บางคน กินแป้งน้อยวันฝึก กินแป้งมากวันพัก เพื่อกระตุ้นการเผาผลาญไม่ให้มันจำได้จนเฉื่อย จงจำไว้ว่า
กล้ามเนื้อ กับ การเผาผลาญ จะมี เมมโมรี่ นะครับ หากทำซ้ำๆ มันจะไม่พัฒนา เพราะร่างกาย จะพัฒนารับมือกับการเปลี่ยนแปลง จนสิ้นสุด ดังนั้นอย่าทำซ้ำ ให้สิ้นสุด จงเปลี่ยน ปรับไปเรื่อยๆ ครับ การเพาะกายมีอะไรมากกว่าที่เราเคยเข้าใจกัน มันเป็นทั้งศาสตร์ ที่เรียนไม่รู้จบ และเป็นศิลปะของเหล่าเทพเจ้า คุณกำลังเล่นกีฬาของเทพเจ้า จงภูมิใจกับมันมากๆ

   ข้อที่สาม  รู้ผ่อนหนักผ่อนเบา ผมเตือนตัวเองเสมอว่า โปรแกรมฝึกของเรา เราเป็นคนฝึก ไม่ใช่คนอื่นๆ เรามีเวลาเล่นกล้ามตลอดชีวิต ไม่ต้องรีบ เราใช้น้ำหนัก 10 กิโลกรัม หรือ 5 กิโลกรัม เล่นแล้วกล้ามขึ้น เห็นการพัฒนา นี่เรียกว่า เสมอกัน แต่หากเราใช้ 5 กิโลกรัม แล้วเปลี่ยนตามเพื่อน
ไปใช้ 10 กิโลกรัม เขากล้ามขึ้นสบายๆ แต่เรากล้ามขึ้นแบบทรมาน แบบนี้เรียกว่า ฝึกแบบโง่ จงจำไว้ว่า คนเรา ต่างกันเห็นฝรั่งไหมครับ เกิดมา
บางคนมีมัดกล้ามตามธรรมชาติ ไม่ต้องใช้สักกิโล ก็มีกล้าม มาเล่นก็ขึ้นเร็วเสียอีก ดังนั้นคนไม่เหมือนกันครับ ค่อยๆ ทำไป ตามปกติ ให้ใช้น้ำหนัก
ที่เรายกได้ 10-12 ครั้งใน 1 เซ็ทแล้วหมดแรง (Failure )พอดี พอแล้วครับ

   เมื่อเรารู้หนักเบาของเรา น้ำหนักจะไม่มากไป จำนวนเซ็ทจะไม่มากไป มันจะเป็นทางสายกลางไปเอง ฝรั่งเรียกว่า เป็นการฝึกแบบมีสัญชาตญาณ ครับ
 คนอื่นอาจจะเล่นหนัก มีกล้ามสวยงาม เร็วใน 2-3 ปี ของคุณอาจจะ 4 ปี ผมไม่เห็นว่ามันนานกว่ากันเท่าใด เพราะมีแล้วก็มีเลย ที่เหลือก็อยู่ที่การดูแลต่อเนื่อง แต่ที่แน่ๆ อาการบาดเจ็บของคุณมีน้อยกว่าแน่นอน ใครจะไปรู้ เขาอาจจะผ่านอาการบาดเจ็บมามากกว่าคุณหลายเท่าก็ได้

    การผ่อนหนักเบายังใช้ในเรื่องที่เกี่ยวข้องได้ เช่นในโรงยิม บางคนมุฝึกเกินไป ไม่เผื่อแผ่อุปกรณ์ให้คนอื่นบ้างเลย แบบนี้ไม่ดีนะครับ ของผมหากเห็นว่ามีเพื่อนร่วมฝึก หากผมเปลี่ยนจากนั่งบนม้านั่งฝึก ไปนั่งเก้าอี้ได้ ผมทำทันที เพราะต้องให้คนอื่นเขาเล่นบ้างครับ

   เราเรียกข้อนี้ว่า ทางสายกลาง

  หากคุณทำได้ มีแรงจูงใจ และมีวินัย กัดไม่ปล่อยเล่นกล้ามด้วยความสนุก จะดีที่สุด ของผม ทุกเย็นๆ ค่ำๆ ผมจะตื่นเต้น ว่าพรุ่งนี้มันส์อีกแล้วเป็นเช้าวันฝึก มันเป็นอะไรที่ต้องมาฝึกจะรู้เอง ขณะที่เช้าวันพัก จะเบื่อๆ ครับ แต่ต้องพัก การพักก็ต้องมีวินัยเช่นกัน

 ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการ เพาะกาย ครับผม

 จงจำไว้ว่า โลกชอบคนมีความพร้อม กีฬาเพาะกายสร้างความพร้อมให้คุณ สำหรับกีฬา และ การงานทุกรูปแบบ เพราะการเพาะกายคือ กีฬาของเทพเจ้า

 สวัสดีครับ
คุณบอลล์ :0)
     

No comments:

Post a Comment